ทำไมการสร้าง 'โครงสร้างพื้นฐานที่ทนทานต่อสภาพภูมิอากาศ' จึงเร่งด่วนสำหรับคนรุ่นหน้า

ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งใหญ่จากภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว โครงสร้างพื้นฐานที่เราพึ่งพา ทั้งถนนหนทาง ระบบไฟฟ้า และการบริหารจัดการน้ำ ล้วนสร้างขึ้นบนสมมติฐานทางสภาพอากาศแบบเดิม ๆ
KEY
POINTS
- ภาวะโลกร้อนที่รุนแรงขึ้นทำให้การวางแผนโครงสร้างพื้นฐานโดยใช้ข้อมูลในอดีตไม่สามารถรับมือกับสภาพอากาศสุดขั้วในอนาคตได้ และสร้างความเสี่ยงให้คนรุ่นต่อไป
- เครื่องมือประเมินโครงการแบบดั้งเดิม เช่น การวิเคราะห์ต้นทุน-ผลประโยชน์ (CBA) และอัตราคิดลด ไม่ได้คำนึงถึงความไม่แน่นอนจากสภาพภูมิอากาศ ทำให้การลงทุนเพื่ออนาคตถูกประเมินค่าต่ำเกินไป
- โครงสร้างพื้นฐานสำคัญของไทยในหลายพื้นที่ เช่น ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมและระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น
- ไทยจำเป็นต้องเรียนรู้จากแนวทางของต่างประเทศในการปรับปรุงมาตรฐานการวางแผนและลงทุน เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรับมืออนาคตและส่งต่อระบบที่ยั่งยืนให้คนรุ่นหลัง
โลกกำลังร้อนขึ้นในอัตราที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รายงานของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) คาดการณ์ว่า อัตราการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกในช่วงปี พ.ศ. 2563-2593 จะเร็วกว่าช่วงปี พ.ศ. 2513-2563 ถึง 26% ซึ่งหมายความว่าสภาพอากาศสุดขั้วจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งและรุนแรงขึ้น การสร้างโครงสร้างพื้นฐานโดยอ้างอิงข้อมูลในอดีตจึงเป็นการวางแผนที่ล้มเหลวและไม่เป็นธรรมต่อคนรุ่นต่อไปที่จะต้องรับมือกับผลกระทบ
เครื่องมือประเมินแบบเก่าไม่ตอบโจทย์โลกยุคใหม่
ปัจจุบัน เครื่องมือสำคัญอย่าง การวิเคราะห์ต้นทุน-ผลประโยชน์ (Cost-Benefit Analysis - CBA) ที่ใช้ในการประเมินโครงการต่าง ๆ มักจะคำนวณจากข้อมูลในอดีต ซึ่งไม่สามารถสะท้อนความไม่แน่นอนและจุดพลิกผันที่เกิดขึ้นจากภาวะโลกร้อนได้ ผู้เชี่ยวชาญจึงเสนอให้ CBA ต้องพิจารณาปัจจัยที่ไม่ใช่ตลาดมากขึ้น เช่น ผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและมิติทางสังคม-เศรษฐกิจ เพื่อให้การประเมินครอบคลุมและมองเห็นภาพรวมในระยะยาวอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ อัตราคิดลด (Discount Rate) ซึ่งใช้ประเมินมูลค่าของโครงการในอนาคตก็กำลังกลายเป็นกลไกที่ล้าสมัย ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ต่างชี้ให้เห็นว่า ควรปรับลดอัตราคิดลดลงเมื่อเวลาผ่านไป เพื่อให้ความสำคัญกับมูลค่าของโครงสร้างพื้นฐานในอนาคตและผลประโยชน์ที่คนรุ่นหลังจะได้รับ
แนวคิดนี้สอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติของหลายประเทศ เช่น นิวซีแลนด์ที่กำหนดอัตราคิดลดลดลงตามช่วงเวลา และสหราชอาณาจักรที่ปรับลดอัตราคิดลดลงเหลือ 1% สำหรับโครงการที่ดำเนินไปเกิน 300 ปี เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการดูแลความเป็นอยู่ที่ดีของคนรุ่นต่อ ๆ ไป
ประเทศไทยกับความท้าทายด้านโครงสร้างพื้นฐานในยุคภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง
ในขณะที่หลายประเทศเริ่มปรับเปลี่ยนแนวทาง ตัวอย่างในประเทศไทยแสดงให้เห็นถึงความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ได้เผยแพร่รายงานการประเมินผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ
โดยชี้ให้เห็นว่าโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น ถนนและทางรถไฟในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะมีความเสี่ยงสูงจากน้ำท่วมและน้ำท่วมฉับพลัน ในขณะที่โครงสร้างพื้นฐานชายฝั่ง เช่น ท่าเรือและพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จะได้รับผลกระทบจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นและพายุที่รุนแรงขึ้นในอนาคต
บทเรียนจากนานาชาติและโอกาสของประเทศไทย
หลายประเทศได้เริ่มปรับเปลี่ยนแนวคิดและลงมือปฏิบัติจริงแล้ว ดังนี้
- โครงการ Sydney Metro ในออสเตรเลีย ถูกออกแบบให้ทนทานต่อสภาพอากาศที่คาดการณ์ไว้ในปี 2613 เพื่อลดต้นทุนการซ่อมบำรุงในอนาคต
- เมือง Gothenburg ในสวีเดน ใช้เครื่องมือ InVEST เพื่อวิเคราะห์การจัดการน้ำแบบบูรณาการภายใต้สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่หลากหลาย ทำให้สามารถวางแผนสร้างโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว (Nature-based solutions) ได้อย่างแม่นยำ
- เมือง Beira ในโมซัมบิก ได้ริเริ่มโครงการฟื้นฟูป่าชายเลนและระบบระบายน้ำ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมให้กับประชากรในเมืองได้ถึง 40%
ในฐานะประเทศที่เปราะบางต่อผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ ประเทศไทยมีโอกาสที่จะเรียนรู้จากแนวทางเหล่านี้ และนำมาปรับใช้เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ในการวางแผนและลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การเริ่มต้นจากการทบทวนและปรับปรุงเครื่องมือประเมินโครงการต่าง ๆ เช่น การวิเคราะห์ต้นทุน-ผลประโยชน์ และอัตราคิดลด ให้สอดคล้องกับความไม่แน่นอนของสภาพภูมิอากาศในอนาคต จะเป็นก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบและพันธะสัญญาต่อคนรุ่นต่อไป
การสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ทนทานต่อสภาพภูมิอากาศคือการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ไม่สามารถมองข้ามความจำเป็นในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานได้อีกต่อไป การตัดสินใจในวันนี้คือการกำหนดอนาคตของคนรุ่นหลัง
การสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ 'พร้อมสำหรับอนาคต' ไม่เพียงแต่เป็นการลงทุนทางเศรษฐกิจเพื่อความปลอดภัยและความมั่นคงของประเทศ แต่ยังเป็นพันธะสัญญาทางศีลธรรมที่จะส่งต่อระบบที่แข็งแรงและยั่งยืนให้แก่ลูกหลานในภายภาคหน้า เพราะโครงสร้างพื้นฐานไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของวันนี้ แต่เป็นเรื่องของพรุ่งนี้เสมอ
ที่มา : Global Shapers Community , IPCC







