'AI และเศรษฐกิจหมุนเวียน' คืออาวุธลับสู่ความสำเร็จในปี 2573

'AI และเศรษฐกิจหมุนเวียน' คืออาวุธลับสู่ความสำเร็จในปี 2573

การแข่งขันทางธุรกิจยุคใหม่ไม่ได้วัดกันที่คุณภาพ ราคา หรือความเร็วในการผลิตอีกต่อไป แต่คือความสามารถในการบริหารจัดการอย่างชาญฉลาดและยั่งยืน ด้วยพลังของปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ธุรกิจไทยที่ปรับตัวก่อนจะคว้าโอกาสเหนือคู่แข่งในเวทีโลก

KEY

POINTS

  • การผสานปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จและความอยู่รอดของธุรกิจภายในปี พ.ศ. 2573
  • เศรษฐกิจหมุนเวียนได้กลายเป็นกลยุทธ์หลักทางธุรกิจที่จำเป็น ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม เพื่อลดต้นทุนและตอบสนองความต้องการด้านความยั่งยืนของลูกค้า
  • AI ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เช่น ช่วยออกแบบผลิตภัณฑ์ให้รีไซเคิลง่าย จัดการซัพพลายเชนย้อนกลับ และคาดการณ์การซ่อมบำรุงเพื่อยืดอายุการใช้งาน
  • การทำงานร่วมกันของทั้งสองแนวคิดก่อให้เกิด "ความชาญฉลาดแบบหมุนเวียน" (Circular Intelligence) ซึ่งเป็นวงจรที่สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและนำไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืน

ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ภูมิทัศน์ทางธุรกิจทั่วโลกกำลังจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง องค์กรที่จะอยู่รอดและเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี พ.ศ. 2573  คือผู้ที่สามารถผสานรวมสองพลังสำคัญเข้าด้วยกัน ได้แก่ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ข้อมูลจากบทวิเคราะห์ของนิตยสารชั้นนำและสถาบันวิจัยระดับโลกชี้ชัดว่า การพึ่งพาโมเดลธุรกิจแบบเดิมที่เน้นการผลิต ใช้แล้วทิ้ง (take-make-waste) จะทำให้ธุรกิจไทยและทั่วโลกเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น กำไรลดลง และสูญเสียความน่าเชื่อถือจากลูกค้าและนักลงทุน

เศรษฐกิจหมุนเวียน จากกระแสสู่ภาคบังคับ

แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนกำลังจะกลายเป็นข้อกำหนดพื้นฐานในการทำธุรกิจ การลดของเสียและใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าไม่ใช่แค่เรื่องของการรักษาสิ่งแวดล้อมอีกต่อไป แต่เป็นกลยุทธ์สำคัญที่สร้างความได้เปรียบทางธุรกิจ ข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พบว่า ประเทศไทยมีการขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยตั้งเป้าหมายในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570) ที่จะให้เศรษฐกิจหมุนเวียนมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน

ธุรกิจที่ใช้โมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียน เช่น การซ่อมแซม การนำกลับมาใช้ใหม่ หรือการให้บริการเช่าสินค้า แทนการขายขาด จะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบและสร้างรายได้ต่อเนื่อง ในทางกลับกัน บริษัทที่ยังยึดติดกับแนวทางเดิมจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ไม่สามารถตอบสนองความคาดหวังของลูกค้าที่ต้องการความยั่งยืนได้อีกต่อไป

AI ขุมพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน

หากเศรษฐกิจหมุนเวียนคือเป้าหมาย AI คือเครื่องยนต์ที่จะนำพาไปสู่เป้าหมายนั้น AI สามารถยกระดับกระบวนการทางธุรกิจให้มีประสิทธิภาพและชาญฉลาดขึ้นอย่างก้าวกระโดด ตัวอย่างเช่น

  1. การออกแบบผลิตภัณฑ์: AI ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อออกแบบสินค้าให้ง่ายต่อการซ่อมแซมหรือรีไซเคิล
  2. การจัดการซัพพลายเชนแบบย้อนกลับ (Reverse Logistics): AI สามารถจัดการการรับคืนสินค้า การคัดแยก และการนำกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว
  3. การคาดการณ์และบำรุงรักษาเชิงป้องกัน: AI วิเคราะห์ข้อมูลจากเซ็นเซอร์ในอุปกรณ์เพื่อคาดการณ์ความต้องการซ่อมบำรุง ช่วยยืดอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์และลดการใช้วัสดุใหม่

ธุรกิจในไทยหลายแห่งเริ่มนำ AI มาใช้แล้ว เช่น บริษัทผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ AI เพื่อตรวจสอบคุณภาพของชิ้นส่วน หรือสตาร์ทอัพด้านเกษตรที่ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อลดการใช้น้ำและปุ๋ย ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาไปสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน

ผสานสองพลังสู่ "ความชาญฉลาดแบบหมุนเวียน"

เมื่อ AI และเศรษฐกิจหมุนเวียนทำงานร่วมกัน จะเกิดเป็นวงจรที่เสริมสร้างซึ่งกันและกันอย่างทรงพลัง AI ช่วยให้การดำเนินงานตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและขยายขนาดได้จริง ในขณะเดียวกัน โมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียนก็สร้างข้อมูลเชิงลึกที่มีค่ามหาศาลให้ AI ได้เรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

บริษัทที่ไม่เริ่มปรับตัววันนี้กำลังเสี่ยงต่อการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันอย่างรุนแรง การปรับเปลี่ยนต้องใช้ทั้งเงินลงทุน ทักษะใหม่ๆ และวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ แต่ผลตอบแทนที่ได้รับนั้นคุ้มค่ามหาศาล ทั้งในแง่ของต้นทุนที่ลดลง ซัพพลายเชนที่ยืดหยุ่นขึ้น และความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้า

การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่นี้ไม่ใช่แค่เรื่องของการรักษ์โลก แต่เป็นก้าวสำคัญที่กำหนดอนาคตของธุรกิจในอีกทศวรรษข้างหน้า บริษัทที่เริ่มสร้าง "ความชาญฉลาดแบบหมุนเวียน (Circular Intelligence)" ตั้งแต่วันนี้ จะเป็นผู้นำในเกมธุรกิจยุคใหม่และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน

ที่มา : DXC Technology