ตลาด ‘คาร์บอนเครดิตไทย’ อนาคตที่สดใส หรือแค่รอวันกฎหมายบังคับ

จับตาสถานการณ์ตลาดคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจในไทย ที่มีแนวโน้มเติบโตสูง แต่กลับเผชิญภาวะ "Over Supply" ชั่วคราวจากผู้พัฒนาโครงการที่รอจังหวะขาย ขณะที่กฎหมายใหม่เตรียมบังคับใช้ในปีหน้า และความท้าทายในการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางคาร์บอนเครดิตของอาเซียน
KEY
POINTS
- ตลาดคาร์บอนเครดิตไทยกำลังจะเปลี่ยนจากระบบภาคสมัครใจไปสู่ภาคบังคับ หลังร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปีหน้า
- เกิดภาวะอุปทานส่วนเกินชั่วคราว เนื่องจากผู้พัฒนาโครงการ และผู้ซื้อส่วนใหญ่เลือกกักตุนเครดิตไว้ เพื่อรอขายหรือใช้เมื่อกฎหมายภาคบังคับมีผล ซึ่งคาดว่าจะทำให้ราคา และอุปสงค์สูงขึ้น
- ไทยตั้งเป้าหมายเป็น "ฮับคาร์บอนเครดิตแห่งอาเซียน" โดยมีจุดแข็งคือ มาตรฐาน T-VER ที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2014 แต่ต้องเผชิญการแข่งขันกับประเทศอื่นในภูมิภาค
- ราคาคาร์บอนเครดิตในไทยไม่ได้แตกต่างจากตลาดโลกมากนัก โดยราคาโครงการป่าไม้อยู่ที่ประมาณ 500 บาทต่อตัน ซึ่งใกล้เคียงหรือสูงกว่าราคาต่างประเทศเล็กน้อย
ปัจจุบัน ตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยยังคงเป็นแบบ "ภาคสมัครใจ" ภายใต้การดูแลขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) แต่สถานการณ์นี้กำลังจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อ ร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีแนวโน้มที่จะมีผลบังคับใช้ภายในปีหน้า ซึ่งจะทำให้เกิดการแบ่งบทบาทที่ชัดเจนขึ้น
กฎหมายใหม่จ่อบังคับใช้ คาถาเปิดประตูสู่ตลาดคาร์บอนเครดิตภาคบังคับ
- ตลาดภาคบังคับ : จะถูกกำกับดูแลโดยสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
- ตลาดภาคสมัครใจ : ยังคงอยู่ภายใต้การบริหารจัดการโครงการของ อบก. เช่นเดิม
"กรุงเทพธุรกิจ" มีโอกาสพูดคุยกับ "อโณทัย สังข์ทอง" ผู้อำนวยการ สำนักสื่อสารและทะเบียนคาร์บอนเครดิต องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ในงาน "TGO One Night Understand" ถึงจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะกระตุ้นให้เกิดความต้องการคาร์บอนเครดิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และอาจเป็นปัจจัยที่ดึงดูดผู้พัฒนาโครงการที่กักเก็บคาร์บอนเครดิตไว้กลับเข้าสู่ตลาดอีกครั้ง
"Over Supply" ชั่วคราว กลยุทธ์ "เก็บของเก่า รอของใหม่"
"อโณทัย" กล่าวว่า แม้จะมีการซื้อขายคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจในประเทศไทยไปแล้วกว่า 3.7 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า แต่ในทางเศรษฐศาสตร์ ตลาดกลับมีแนวโน้มที่จะเข้าสู่สภาวะ "อุปทานส่วนเกิน" หรือ "Over Supply"
ข้อมูลจาก อบก. ชี้ให้เห็นว่ากว่า 70% ของผู้พัฒนาโครงการ ไม่ได้มีเป้าหมายหลักในการขายคาร์บอนเครดิตทันที แต่เลือกที่จะกักเก็บไว้เพื่อใช้ในอนาคตของตนเอง หรือรอขายเมื่อกฎหมายภาคบังคับมีผลบังคับใช้ ซึ่งน่าจะทำให้ราคา และอุปสงค์เพิ่มสูงขึ้น
ขณะเดียวกัน ผู้ซื้อส่วนใหญ่ก็มีวัตถุประสงค์คล้ายกันคือ ซื้อไว้เพื่อใช้เอง และเก็บไว้เพื่อขายต่อในอนาคต สะท้อนให้เห็นว่าทั้งผู้ซื้อ และผู้ขายกำลังเตรียมพร้อมรับมือกับภูมิทัศน์ใหม่ของตลาดคาร์บอนเครดิตที่กำลังจะเกิดขึ้น
ราคาใกล้เคียงสากล แต่ไทยต้องหาจุดยืนเพื่อเป็น "Hub อาเซียน"
รัฐบาลไทยมีเป้าหมายอันทะเยอทะยานที่จะผลักดันประเทศให้เป็น "Hub ของอาเซียน" ในตลาดคาร์บอนเครดิต แต่การจะไปถึงจุดนั้นได้ ไทยจำเป็นต้องพิจารณาจุดแข็ง และจุดยืนของตัวเองในเวทีภูมิภาค
จุดแข็งของไทย : เป็นผู้นำในการมี มาตรฐานคาร์บอนเครดิตของชาติ (T-VER) มาตั้งแต่ปี 2014 และรับรองคาร์บอนเครดิตไปแล้วมากกว่า 22 ล้านตัน ซึ่งเป็นสิ่งที่อินโดนีเซีย และเวียดนามกำลังเร่งพัฒนาตามมา
ทั้งนี้หากดูตัวอย่างคู่แข่งในอาเซียนพบว่า
- อินโดนีเซีย : โดดเด่นด้านปริมาณการซื้อขาย และเป็นผู้ขายรายใหญ่ที่สุด โดยเฉพาะจากโครงการฟื้นฟูป่า
- สิงคโปร์ : เป็นผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐาน และแพลตฟอร์มการซื้อขาย (Exchange Platform) แม้ไม่มีโครงการลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศ
การจะก้าวสู่การเป็น Hub ได้นั้น ไทยต้องตัดสินใจว่าจะเน้นเป็นผู้นำด้านไหน จะเป็นศูนย์กลางด้านการค้า การออกใบรับรอง หรือทั้งสองอย่าง ซึ่งเป็นโจทย์ที่สำคัญสำหรับผู้กำหนดนโยบาย
ราคาคาร์บอนเครดิต ไม่ได้แตกต่างจากตลาดโลกอย่างที่คิด
แม้จะมีข้อถกเถียงเรื่องราคา แต่ข้อมูลล่าสุดชี้ว่าราคาคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยไม่ได้แตกต่างจากตลาดต่างประเทศมากนัก
- โครงการป่าไม้ : ราคาในไทยซื้อขายล่าสุดที่ 500 บาทต่อตัน ซึ่งใกล้เคียงกับราคาต่างประเทศที่ประมาณ 175-210 บาท หรือสูงกว่าเล็กน้อย
- โครงการพลังงานทดแทน : ราคาต่ำสุดในไทยอยู่ที่ 45 บาทต่อตัน ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างจากราคาเฉลี่ยต่างประเทศที่ประมาณ 35 บาท
- ราคาที่ผู้ซื้อพอใจจ่าย : กว่า 60% ของผู้ซื้อระบุว่ายินดีจ่ายที่ 50-200 บาทต่อตัน ซึ่งเป็นราคาที่ผู้พัฒนาโครงการมองว่าสอดคล้องกับการลงทุน และสะท้อนสภาพตลาด
ตลาดคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจของไทยมีศักยภาพสูง และพร้อมสำหรับการเติบโต แต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายในการบริหารจัดการอุปทานส่วนเกินชั่วคราว และการวางตำแหน่งตัวเองในระดับภูมิภาค การมาของกฎหมายใหม่จะเป็นตัวเร่งให้ตลาดนี้เปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคใหม่ และเป็นบททดสอบสำคัญว่าประเทศไทยจะสามารถก้าวสู่การเป็น "Hub คาร์บอนเครดิตแห่งอาเซียน" ได้สำเร็จหรือไม่
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







