แข่งกับ 130 ประเทศ 'ดร.พิรุณ' ชี้ ไทยต้องมีแผน Climate Change ชัด หากหวังทุนโลก

แข่งกับ 130 ประเทศ 'ดร.พิรุณ' ชี้ ไทยต้องมีแผน Climate Change ชัด หากหวังทุนโลก

ดร.พิรุณ ชี้ว่า ภัยธรรมชาติเกิดบ่อยขึ้นและรุนแรงขึ้น ทั้งในไทยและต่างประเทศ อาเซียนโดยรวมต้องใช้ 422 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2073 เพื่อบรรลุเป้าหมายด้าน climate ขีดความสามารถในการเขียนข้อเสนอโครงการมีความสำคัญ

KEY

POINTS

  • ดร.พิรุณ ชี้ว่า ภัยธรรมชาติเกิดบ่อยขึ้นและรุนแรงขึ้น ทั้งในไทยและต่างประเทศ
  • ปัจจุบันไทยใช้เงินกว่า 150,000 ล้านบาท กับสาขาเสี่ยง เช่น เกษตรและน้ำ
  • อาเซียนโดยรวมต้องใช้ 422 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2073 เพื่อบรรลุเป้าหมายด้าน climate
  • กลไกการเงินระหว่างประเทศที่ไทยสามารถเข้าถึงได้ เช่น Adaptation Fund, GCF, กองทุนจากประเทศพัฒนาแล้ว (เช่น เยอรมนี, อังกฤษ), สถาบันการเงินพหุภาคี (ADB, World Bank)
  • ขีดความสามารถในการเขียนข้อเสนอโครงการมีความสำคัญ

กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม จัดประชุมเผยแพร่และรับฟังความคิดเห็นการจัดทำแนวทางการขอรับการสนับสนุนทางการเงินด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Finance Adaptation) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูล ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และคู่มือแนวทางการเข้าถึงแหล่งงบประมาณทั้งในและต่างประเทศ สำหรับหน่วยงานที่ดำเนินกิจกรรมด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย

ผลกระทบโลกร้อน ถี่ขึ้น-รุนแรงขึ้น

"ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช" อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดการประชุม โดยเน้นย้ำถึงวัตถุประสงค์หลักคือการหาแนวทางให้ประเทศไทยสามารถปรับตัวรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพางบประมาณภาครัฐมากจนเกินไป

"ดร.พิรุณ" ยังได้กล่าวถึงสถานการณ์ปัจจุบันว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ส่งผลให้ภัยพิบัติธรรมชาติมีความรุนแรง ความถี่ และรูปแบบที่แปรปรวนมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ยากต่อการรับมือและก่อให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง โดยไม่เลือกเป้าหมาย ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเกิดขึ้นจริง ตัวอย่างผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น

  • สหรัฐอเมริกา: ในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา แม้นโยบายจะไม่ได้เน้นการแก้ไขปัญหาโดยตรง แต่ความถี่ของภัยพิบัติธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับสหรัฐฯ ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากค่าเฉลี่ย 9 ครั้งต่อปี กลายเป็น 23-29 ครั้งต่อปี โดยการเพิ่มขึ้นนี้เพิ่งเกิดในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ทำให้สหรัฐฯ สูญเสียไปแล้วกว่า 36,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากความรุนแรงของปรากฏการณ์เหล่านี้
  • สถานการณ์ในประเทศไทย: ภาคเหนือของไทยเผชิญกับเหตุการณ์น้ำท่วมซ้ำซากหลายครั้งในปีนี้
  • ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม: ภาคการท่องเที่ยวสูญเสียรายได้เบื้องต้นกว่า 5,000 ล้านบาท แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ ผลกระทบต่อจิตใจและการดำรงอยู่ของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ซึ่งยากที่จะเยียวยาได้ ดังกรณีคาเฟ่ที่จังหวัดน่านที่ถูกน้ำท่วมมิดหลังคาถึงสองครั้งภายในเวลาไม่ถึงปี ทำให้ยากต่อการฟื้นตัว

ความท้าทายด้านการเข้าถึงแหล่งทุน

"ดร.พิรุณ" ชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีการใช้เงินในระบบการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกว่า 150,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เน้นไปที่ 2 สาขาหลักคือ การเกษตร และการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งเป็นสาขาที่มีความเสี่ยงสูงในแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ

อย่างไรก็ตาม แผนดังกล่าวครอบคลุมถึง 6 สาขาที่มีความเสี่ยง ได้แก่ การท่องเที่ยว สาธารณสุข การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และการตั้งถิ่นฐานและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งยังต้องการงบประมาณภาครัฐอีกเป็นจำนวนมาก

สำหรับภาพรวมของอาเซียน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในปี 2030-2073 ทั้งในการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัว อาเซียนต้องการเงินประมาณ 422 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยประมาณ 290 ล้านเหรียญฯ สำหรับการลดก๊าซเรือนกระจก และอีกกว่า 100 ล้านเหรียญฯ สำหรับการปรับตัว

“แม้ในระดับภูมิภาค เงินทุนสำหรับการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวอาจไม่สมดุลกัน แต่ในภาพรวมระดับโลก การเงินด้านการปรับตัวควรถูกผลักดันให้ใกล้เคียงกับการเงินด้านการลดก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น รายงาน Climate Risk Index ของ German Watch แสดงให้เห็นว่า 10 ประเทศแรกที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดจากภัยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้น ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะประเทศในอาเซียน”

กลไกเข้าถึงแหล่งเงินทุนระหว่างประเทศ

"ดร.พิรุณ" กล่าวว่า การเข้าถึงกลไกทางการเงินระหว่างประเทศจำเป็นต้องมี เป้าหมายที่ชัดเจนของประเทศ และการขับเคลื่อนนโยบายอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน ประเทศไทยมีแผนการปรับตัวแห่งชาติ (National Adaptation Plan หรือ NAP) ที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบและได้ส่งให้สำนักเลขาธิการ UN ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแล้ว เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา โดยระบุ 6 สาขาที่เปราะบางและมีความเสี่ยง

แหล่งเงินทุนสำคัญที่สามารถเข้าถึงได้ ได้แก่

  • กองทุนการปรับตัว (Adaptation Fund) ซึ่งมีเงินหลายร้อยล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 700 กว่าล้านเหรียญสหรัฐฯ)
  • กองทุนภูมิอากาศสีเขียว (Green Climate Fund - GCF) ที่มีเงินหมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ และบริหารจัดการเงิน 50/50 ระหว่างการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัว
  • กองทุนความร่วมมือทวิภาคี เช่น International Climate Initiative (เยอรมนี) และ International Climate Fund (สหราชอาณาจักร)
  • ธนาคารพัฒนาพหุภาคี อย่าง ADB และ World Bank

ขีดความสามารถ เขียนข้อเสนอโครงการ

"ดร.พิรุณ" เน้นย้ำว่า การแข่งขันเพื่อเข้าถึงเงินทุนจากแหล่งต่างๆ เป็นไปอย่างเข้มข้น เนื่องจากมีประเทศกำลังพัฒนากว่า 130 ประเทศที่มุ่งเป้าขอเงินจากแหล่งเดียวกัน ดังนั้น ขีดความสามารถของหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนในการเขียนข้อเสนอโครงการจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เกณฑ์การพิจารณาเงินทุนจะพิจารณาจากหลายปัจจัย ดังนี้

  • หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน เชื่อมโยงถึงผลกระทบและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
  • ตัวชี้วัดที่มีความชัดเจน สามารถติดตาม ประเมินผล และรายงานกลับไปยัง UNFCCC ได้
  • ความยั่งยืนของโครงการ หลังจากสิ้นสุดการดำเนินงาน
  • การมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่

“ประเทศไทยเคยมีประสบการณ์ที่ประสบความสำเร็จในการได้รับเงินสนับสนุนแบบให้เปล่า เช่น 15-16 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จาก UNDP สำหรับการบริหารจัดการน้ำภาคเหนือ และ 43 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จาก GIZ สำหรับโครงการเกษตร. อย่างไรก็ตาม ยอดรวมกว่า 60 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นี้ ยังไม่เพียงพอต่อการปรับตัวของประเทศไทยใน 6 สาขา และทำได้เพียงโครงการนำร่องเท่านั้น”

ระบบนิเวศทางการเงินภายในประเทศ

นอกจากการเข้าถึงเงินทุนระหว่างประเทศแล้ว "ดร.พิรุณ" ชี้ว่า ประเทศไทยต้องสร้างระบบนิเวศทางการเงินภายในประเทศ ที่สามารถขับเคลื่อนการปรับตัวได้ เช่น เงินทุนจากสถาบันการเงินภายในประเทศ ในอนาคตประเทศไทยจะมี "กองทุนภูมิอากาศ" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี พ.ร.บ. ดังกล่าวเมื่อประกาศใช้ จะเข้ามาสนับสนุนการทำงานด้านการปรับตัวในทุกมิติของประเทศไทยให้เกิดความสมดุล

ความเร่งด่วนที่ละเลยไม่ได้

"ดร.พิรุณ" เน้นย้ำถึงความเร่งด่วนของการปรับตัวว่า เป็นสิ่งที่ประเทศจะละเลยไม่ได้ เพราะองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ได้ประกาศแล้วว่า ในปี 2024 อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกได้สูงขึ้นถึง 1.55 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของภัยพิบัติธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น ถี่ขึ้น และมีรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไป

โครงการจัดทำแนวทางเข้าถึงการเงินด้านการปรับตัวนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ใช่เรื่องของกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของทุกคน ที่ต้องช่วยกันทั้งในด้านการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัว

"เชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมแลกเปลี่ยน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประเทศไทยในการเข้าถึงเงินทุนให้ได้มากที่สุด เพื่อนำไปสู่การปรับตัวที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ร่วมมือกับทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ และสังคมที่มีภูมิคุ้มกันต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" ดร.พิรุณ กล่าวทิ้งท้าย