สิงหานี้แดดร้อนเกินฤดู สภาพอากาศสุดขั้ว กับผลของการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน

สิงหานี้แดดร้อนเกินฤดู สภาพอากาศสุดขั้ว กับผลของการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน

แม้จะเป็นฤดูฝน แต่หลายพื้นที่กลับร้อนจัดเพราะไม่มีเมฆช่วยกรองรังสี ค่าดัชนีความร้อนอยู่ในระดับ “อันตราย” สะท้อนความจำเป็นเร่งด่วนในการบรรลุ SDGs

KEY

POINTS

  • แม้จะเป็นฤดูฝน แต่หลายพื้นที่กลับร้อนจัดเพราะไม่มีเมฆช่วยกรองรังสี
  • ค่าดัชนีความร้อน (Heat Index) อยู่ในระดับ “อันตราย” (42.0–51.9 °C)
  • ปีที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตจากฮีทสโตรกกว่า 30 ราย
  • สะท้อนความจำเป็นเร่งด่วนในการบรรลุ SDG 3: Good Health and Well-being
  • ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ไม่อาจมองข้าม
  • สูญเสียรายได้จากงานกลางแจ้งกว่า 44,000 ล้านบาท/ปี
  • ค่าไฟฟ้าสำหรับระบบทำความเย็นเพิ่มอีก 17,000 ล้านบาท/ปี

แม้เดือนสิงหาคมจะเป็นช่วงฤดูฝนของประเทศไทย แต่ถ้าใครเดินออกจากบ้านในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา แล้วรู้สึกว่าแดดแสบผิวจนต้องรีบหาที่หลบ "คุณไม่ได้คิดไปเอง" ความร้อนที่แผดเผาในช่วงนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของอุณหภูมิที่สูงขึ้น แต่เกิดจากหลายปัจจัยที่ซ้อนทับกัน หนึ่งในนั้นคือ “ไม่มีเมฆเลย” เมื่อเมฆที่เคยช่วยกรองรังสีจากดวงอาทิตย์หายไปจากท้องฟ้า แสงแดดจึงตกลงมายังพื้นโดยตรงแบบไม่มีตัวกลาง ทำให้เรารู้สึกร้อนกว่าปกติอย่างชัดเจน

ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเป็นเวลาที่อบอ้าว ร้อนชื้น และอันตรายกว่าที่หลายคนคาดคิด อุณหภูมิสูงสุดในหลายพื้นที่ทะลุ 35 °C ขณะที่ค่าดัชนีความร้อน (Heat Index) พุ่งขึ้นไปอยู่ระหว่าง 42.0–51.9 องศาเซลเซียส ซึ่งจัดอยู่ในระดับ “อันตราย” ต่อสุขภาพโดยตรง

และถ้าใครยังคิดว่าแค่รู้สึกร้อนยังไม่ใช่เรื่องใหญ่ ลองย้อนกลับไปดูช่วงเดือนเมษายน–พฤษภาคมปีที่ผ่านมา ที่ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากฮีทสโตรกรวมมากกว่า 30 ราย เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการบรรลุเป้าหมาย SDG 3: Good Health and Well‑being ที่เน้นการปกป้องสุขภาพของประชาชนจากภัยคุกคามใหม่ๆ ที่เกิดจากสภาพอากาศสุดขั้ว

ซึ่งรายงานฉบับใหม่ของธนาคารโลกและกรุงเทพมหานคร ที่เผยแพร่เมื่อเดือนมีนาคม 2025 ระบุว่า หากอุณหภูมิเฉลี่ยของกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น 1 °C อาจส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจากความร้อนในไทยมากกว่า 2,300 รายต่อปี หากไม่มีมาตรการรับมือที่เพียงพอ

ความร้อนที่เพิ่มขึ้นเป็นสัญญาณเตือนจากธรรมชาติถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กำลังส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของเราอย่างชัดเจน และนี่คือจุดที่ SDG 13: Climate Action เข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรง เพราะคลื่นความร้อนที่รุนแรงนั้นเชื่อมโยงกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ยังไม่มีแนวโน้มลดลง ภาวะเอลนีโญที่เกิดขึ้นในปีนี้ยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ ด้วยการเพิ่มความร้อนและลดปริมาณฝนในหลายพื้นที่ หากไม่มีมาตรการลดการปล่อยคาร์บอนอย่างจริงจัง ภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ประเทศไทยอาจเผชิญวันร้อนจัดถึง 220 วันต่อป

ผลกระทบจากความร้อนเหล่านี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่เรื่องสุขภาพ แต่ยังลามไปถึงเศรษฐกิจอย่างรุนแรง รายงานร่วมของธนาคารโลก และกรุงเทพมหานครยังระบุด้วยว่า หากอุณหภูมิเฉลี่ยของกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นเพียง 1 °C การทำงานกลางแจ้งจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้เกิดความสูญเสียรายได้รวมกว่า 44,000 ล้านบาท และค่าไฟฟ้าสำหรับระบบทำความเย็นจะเพิ่มขึ้นอีก 17,000 ล้านบาทต่อปี

การสูญเสียเหล่านี้กระทบต่อเป้าหมาย SDG 8: Decent Work and Economic Growth โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานนอกระบบ เช่น วินมอเตอร์ไซค์ หรือคนทำงานกลางแจ้ง ที่อาจสูญเสียเวลาทำงานได้ถึง 30–40%

ดังนั้น การรับมือกับความร้อนจึงไม่ใช่แค่เรื่องของการปรับตัว แต่คือการวางรากฐานใหม่ให้กับเมืองและสังคม การเพิ่มพื้นที่สีเขียว ปรับปรุงโครงสร้างระบายความร้อน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเตรียมการฉุกเฉินด้านสุขภาพ ล้วนเป็นก้าวสำคัญที่สอดคล้องกับ SDG 3, 8 และ 13

หลายประเทศตั้งเป้าหมายสู่ “Net Zero” ภายในปี 2050 แต่เมื่อโลกยังคงปล่อยคาร์บอนในระดับสูง และนโยบายจริงจังกลับล่าช้า เป้าหมายเหล่านี้ก็เสี่ยงจะเป็นแค่ "คำสัญญาท่ามกลางเปลวร้อน" ที่ไร้พลังจะหยุดยั้งวิกฤตภูมิอากาศได้ทันเวลา