ทั่วโลกจับตา 'การประชุมใหญ่ INC-5.2' กำหนดชะตากรรมพลาสติก

การประชุมสำคัญที่เจนีวา INC-5.2 ตั้งเป้าสร้างสนธิสัญญาโลกฉบับประวัติศาสตร์เพื่อยุติมลพิษพลาสติก เพื่อความยั่งยืน
KEY
POINTS
- การประชุม INC-5.2 เป็นการเจรจาระหว่างประเทศเพื่อจัดทำสนธิสัญญาระดับโลกที่มีผลผูกพันทางกฎหมายฉบับแรกเพื่อยุติมลพิษพลาสติก
- ประเด็นสำคัญที่ต้องตัดสินใจในการประชุม ได้แก่ ขอบเขตของสนธิสัญญาว่าจะครอบคลุมทั้งวงจรชีวิตพลาสติกหรือไม่ การควบคุมการผลิต และการจัดตั้งกองทุนสนับสนุน
- สนธิสัญญานี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดแนวทางร่วมกันเพื่อแก้ไขวิกฤตมลพิษพลาสติกที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และเศรษฐกิจทั่วโลก
ทั่วโลกกำลังเผชิญกับวิกฤตพลาสติกที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีการผลิตพลาสติกมากกว่า 460 ล้านตันต่อปี และคาดว่าจะมีถึง 20 ล้านตันที่ปนเปื้อนอยู่ในสิ่งแวดล้อม ทั้งในดิน น้ำจืด และทะเล ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศอย่างรุนแรง
อย่างไรก็ตาม ความหวังครั้งสำคัญกำลังจะเกิดขึ้นในการประชุม INC-5.2 (International Negotiating Committee) ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 5-14 ส.ค. นี้ ซึ่งเป็นการประชุมที่ได้รับมอบหมายจากสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UN Environment Assembly) ให้จัดทำ สนธิสัญญาระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย เพื่อยุติมลพิษพลาสติกอย่างเป็นรูปธรรม
INC-5.2 คืออะไร?
INC-5.2 คือการประชุมครั้งที่ 5.2 ของคณะกรรมการเจรจาระหว่างประเทศ (INC) ซึ่งมีหน้าที่ร่างสนธิสัญญาฉบับประวัติศาสตร์นี้ โดยเป้าหมายหลักของการประชุมครั้งนี้คือการแก้ไขประเด็นสำคัญที่ยังค้างคาอยู่ เพื่อให้สามารถสรุปเนื้อหาและจัดทำสนธิสัญญาฉบับสมบูรณ์ได้สำเร็จ
ประเด็นหลักที่ต้องหารือ ได้แก่
- ขอบเขตของสนธิสัญญา: ควรครอบคลุมเฉพาะการลดขยะพลาสติก หรือครอบคลุมทั้งวงจรชีวิตของพลาสติก ตั้งแต่การออกแบบ การผลิต ไปจนถึงการกำจัดสารเคมีอันตราย
- การควบคุมการผลิต: ควรมีการจำกัดการผลิตพลาสติกในขั้นต้นหรือไม่
- เงินทุนสนับสนุน: ควรมีกรอบการทำงานและแหล่งเงินทุนที่ชัดเจนเพื่อช่วยให้ประเทศต่าง ๆ สามารถนำสนธิสัญญาไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผลกระทบของมลพิษพลาสติก
จากรายงานความเสี่ยงระดับโลกปี 2568 (Global Risks Report 2025) ของ World Economic Forum จัดให้มลพิษเป็นหนึ่งใน 10 ความเสี่ยงที่มีผลกระทบ severe ที่สุดในทศวรรษหน้า โดยมีมลพิษพลาสติกเป็นตัวการสำคัญ
- ปริมาณขยะพลาสติกเพิ่มขึ้น: องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) คาดการณ์ว่าในปี 2568 จะมีขยะพลาสติกมากกว่า 1,000 ล้านตัน และจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,700 ล้านตันภายในปี 2603
- ไมโครพลาสติก: ขยะพลาสติกส่วนใหญ่มาจากผลิตภัณฑ์ใช้แล้วทิ้ง ซึ่งเมื่อย่อยสลายจะกลายเป็น ไมโครพลาสติก ที่ปนเปื้อนในดินและแหล่งน้ำ บางรายงานระบุว่าไมโครพลาสติกมีสัดส่วนมากกว่า 90% ของพลาสติกในมหาสมุทร
- ผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและมนุษย์: มลพิษพลาสติกเป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ เพราะไมโครพลาสติกได้เข้าสู่ห่วงโซ่อาหารของเราแล้ว
- ภาวะโลกร้อน: การผลิต การใช้ และการจัดการขยะพลาสติกทั่วโลกปล่อยก๊าซเรือนกระจกคิดเป็นประมาณ 4% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด
ทำไมสนธิสัญญาพลาสติกระดับโลกจึงสำคัญ
ความเสียหายสะสมที่เกิดจากมลพิษพลาสติกคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 281 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงปี 2559-2583 การมีสนธิสัญญาฉบับนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากจะช่วยกำหนดเป้าหมายและแนวทางปฏิบัติร่วมกันทั่วโลก เพื่อแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างครอบคลุมและเป็นระบบ แทนที่จะเป็นการแก้ไขปัญหาแบบกระจัดกระจายในแต่ละประเทศ
แนวทางที่สนธิสัญญาจะมุ่งเน้น ได้แก่
- เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy): ส่งเสริมการนำกลับมาใช้ใหม่ (reuse) และการรีไซเคิล (recycle)
- ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: ออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
- สร้างความเท่าเทียม: สนธิสัญญาจะต้องคำนึงถึงประเทศที่ขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานในการจัดการขยะพลาสติก เพื่อให้ทุกประเทศสามารถเข้าร่วมและปฏิบัติตามได้อย่างแท้จริง
องค์กรต่าง ๆ รวมถึง Global Plastic Action Partnership (GPAP) ของ World Economic Forum กำลังร่วมมือกันเพื่อให้คำแนะนำและช่วยเหลือ เพื่อเปลี่ยนสนธิสัญญาที่จะเกิดขึ้นให้กลายเป็นการปฏิบัติจริงในแต่ละท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่มา : World Economic Forum







