องค์กรได้อะไรจาก ISSB ? กรอบบริหารเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

องค์กรได้อะไรจาก ISSB ? กรอบบริหารเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

ในเดือนมิถุนายน 2023 สภามาตรฐานความยั่งยืนระหว่างประเทศ (ISSB) ภายใต้ IFRS Foundation ได้เปิดตัวมาตรฐานการรายงานด้านความยั่งยืน 2 ฉบับ

คือ IFRS S1 ที่เน้นการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงและโอกาสด้านความยั่งยืน และ IFRS S2 ที่เน้นเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีผลบังคับใช้กับงบการเงินที่เริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม 2024 เป็นต้นไป สำหรับประเทศไทยเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าจะเริ่มใช้กับบริษัทในกลุ่ม SET50 ตั้งแต่ปี 2026

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องการปฏิบัติตามกฎระเบียบ แต่เป็นกรอบการบริหารจัดการองค์กรที่เปลี่ยนแนวทางการวางแผนธุรกิจให้สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคมได้ในระยะสั้น กลาง และยาว สิ่งนี้คือการยกระดับกระบวนการทำงานภายในเพื่อส่งเสริมการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่ยืดหยุ่น เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

เครื่องมือที่ช่วย “รับรู้ความเสี่ยง” และ “สร้างโอกาส”
กรอบการทำงานของ ISSB ช่วยให้องค์กรประเมินและจัดการความเสี่ยงจากความผันผวนต่าง ๆ ได้อย่างเป็นระบบ ผ่านกระบวนการ “ระบุ–ประเมิน–จัดลำดับความสำคัญ–ติดตาม” ช่วยลดความไม่แน่นอนในการตัดสินใจทางธุรกิจ และเพิ่มความยืดหยุ่นในระยะยาว

ขณะเดียวกันยังเป็นเครื่องมือสนับสนุนการลงทุนใหม่ ๆ โดยใช้การประเมินประเด็นสำคัญ (Materiality Assessment)  และการวิเคราะห์สถานการณ์อนาคต (Scenario Analysis) การประเมินประเด็นสำคัญเป็นการวิเคราะห์ว่าประเด็นใดส่งผลกระทบต่อมูลค่าของกิจการอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนการวิเคราะห์สถานการณ์อนาคตคือ การตั้งสมมติฐานเพื่อวางแผนรับมือ เช่น หากภาครัฐมีมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น องค์กรจะต้องปรับกลยุทธ์การลงทุนอย่างไร เป็นต้น การใช้เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้องค์กรสามารถกำหนดทิศทางอนาคตได้ชัดเจนขึ้น นำไปสู่การขยายตลาด ลดต้นทุน และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจควบคู่กับประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม

แนวทางการปรับใช้ในองค์กร

องค์กรที่ต้องการเตรียมความพร้อม สามารถนำหลักการของ ISSB มาปรับใช้ในการดำเนินงาน 4 มิติหลัก ได้แก่:

1. การกำกับดูแล (Governance): ควรกำหนดให้มีคณะกรรมการหรือผู้บริหารระดับสูงกำกับดูแลทิศทางด้านความยั่งยืนโดยตรง ซึ่งรวมถึงการติดตามความคืบหน้าของเป้าหมายอย่างสม่ำเสมอ เช่น แผนการมุ่งสู่ Net Zero (Transition Plan) พร้อมดูแลให้กระบวนการรวบรวมและเปิดเผยข้อมูลเป็นไปอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และสอดคล้องกับแนวปฏิบัติสากล

2. กลยุทธ์ (Strategy): ต้องใช้ข้อมูลที่ได้จากการประเมินประเด็นสำคัญและการวิเคราะห์สถานการณ์อนาคตมาวางแผนการลงทุนอย่างเป็นรูปธรรม ตัวอย่างเช่น การลงทุนในเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ (ปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ ระบบรีไซเคิลเพื่อเปลี่ยนวัสดุเหลือใช้ให้เป็นพลังงาน เทคโนโลยีพลังงานสะอาด หรือการพัฒนาโซลูชันการก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม) การวางกลยุทธ์ลักษณะนี้แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวเพื่อสร้างความได้เปรียบในระยะยาว

3. การบริหารความเสี่ยง (Risk Management): ควรพัฒนากรอบการบริหารความเสี่ยงที่บูรณาการประเด็นด้าน ESG เข้ากับการบริหารความเสี่ยงขององค์กรโดยรวม (ESG-integrated framework) ซึ่งหมายความว่าความเสี่ยงด้านความยั่งยืนจะถูกประเมินร่วมกับความเสี่ยงด้านการเงินและการปฏิบัติการ จะช่วยให้องค์กรตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้ไวและแม่นยำ

4. เป้าหมายและตัวชี้วัด (Targets & Metrics): ต้องใช้ข้อมูลจากการประเมินประเด็นสำคัญมาเป็นฐานในการตั้งเป้าหมายและตัวชี้วัดที่ชัดเจน การนำมาตรฐานรายอุตสาหกรรมอย่าง SASB มาปรับใช้จะช่วยให้ข้อมูลที่รายงานมีความเฉพาะเจาะจง โปร่งใส และนำไปใช้เปรียบเทียบระหว่างบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องการ

ท้ายที่สุดแล้ว การเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนตามมาตรฐาน IFRS S1-2 จะเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยพัฒนากระบวนการภายในองค์กรอย่างเป็นระบบ องค์กรที่สามารถบูรณาการเข้ากับการกำกับดูแล กลยุทธ์ และการบริหารความเสี่ยง จะสามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือในสายตาของผู้ลงทุนและผู้มีส่วนได้เสีย และสร้างโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจได้อย่างยั่งยืน

 

*บทความนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง SET ESG Experts Pool และ SET ESG Academy ในการนำเสนอประเด็น ESG ที่ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจและการลงทุนของไทย

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: https://s.setth.org/63g