ลุ่มน้ำชายแดนไทย–พม่า พบสารพิษก่อมะเร็งทุกพื้นที่ ผลจากเหมืองแรร์เอิร์ธ

'ลุ่มน้ำกก และ 'แม่น้ำสาย' ชายแดนไทย–พม่า ตรวจพบโลหะหนัก ค่าสูงขึ้นพิเศษในช่วงเวลาหลังจากที่เกิดน้ำหลากแรก ผลจากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ
KEY
POINTS
- ปัญหาปนเปื้อนโลหะหนักในลุ่มน้ำกกและแม่น้ำสายเป็นวิกฤติสิ่งแวดล้อมและสุขภาพระดับชาติ
- ผลตรวจล่าสุดพบโลหะหนักในระดับ "สูงผิดปกติ" ช่วงน้ำหลากแรก
- จุดที่มีค่าปนเปื้อนสูงสุดคือ ลำน้ำแม่สาย ชายแดนไทย–พม่า
- พื้นที่แม่สายเสี่ยงที่สุด ทั้งสารพิษที่ก่อมะเร็งและไม่ก่อมะเร็ง
- “เหมืองแร่แรร์เอิร์ธ” ถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นต้นเหตุหลักของมลพิษ
สถานการณ์การปนเปื้อนโลหะหนักในลุ่มน้ำกกและแม่น้ำสาย ไม่ใช่เพียงวิกฤติด้านสิ่งแวดล้อม แต่คือภัยเงียบที่คุกคามคุณภาพชีวิตประชาชนในภาคเหนืออย่างต่อเนื่อง หากยังไม่มีมาตรการที่เด็ดขาดจากภาครัฐ ทั้งด้านการตรวจสอบต้นทางมลพิษ การจัดการแหล่งน้ำ และการสื่อสารความเสี่ยงกับประชาชน ประเทศไทยอาจต้องเผชิญกับต้นทุนด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และความมั่นคงทางสิ่งแวดล้อมที่ยากจะฟื้นคืนในอนาคต
ล่าสุด มูลนิธิบูรณะนิเวศ ร่วมกับศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดเวทีเสวนาเพื่อเปิดเผยผลการตรวจตัวอย่างสิ่งแวดล้อมและพืชผลทางการเกษตรพื้นที่ “ลุ่มน้ำกก” และ “แม่น้ำสาย” ที่สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 พร้อมกันนั้นได้มีการเสวนาให้ความเห็นต่อผลการศึกษาและต่อแนวทางการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลต่อกรณีมลพิษแม่น้ำกกและแม่น้ำสาขา
พบระดับโลหะหนักในน้ำผิวดิน ตะกอนดิน และดิน พุ่งสูงผิดปกติ โดยเฉพาะช่วงน้ำหลากแรกของฤดูฝน ซึ่งเกิดขึ้นหลังฝนตกหนักเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา
เวทีเสวนาดังกล่าวมีทั้งนักวิชาการ ภาคประชาสังคม และตัวแทนชุมชนเข้าร่วม แสดงความคิดเห็นอย่างเข้มข้น โดยมีข้อสรุปร่วมกันว่า สถานการณ์นี้กำลังคุกคามสุขภาพประชาชนอย่างร้ายแรง และหากภาครัฐยังไม่เร่งดำเนินการ อาจส่งผลกระทบระยะยาวต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และความมั่นคงของพื้นที่ภาคเหนือ
น้ำหลากแรกชะโลหะหนักปนเปื้อนทั่วลุ่มน้ำ
"ผศ.ดร.ว่าน วิริยา" ผู้ช่วยหัวหน้าศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ในฐานะตัวแทนหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจวิเคราะห์ผลตัวอย่างสิ่งแวดล้อมและพืชผลทางการเกษตร เปิดเผยว่า ทีมวิจัยได้ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างระหว่างวันที่ 24–26 พฤษภาคม 2568 ครอบคลุมทั้งลุ่มน้ำกก รวก สาย และโขง โดยเก็บตัวอย่างจากน้ำ 27 ตัวอย่าง ตะกอนดิน 18 ตัวอย่าง ดิน 12 ตัวอย่าง และพืชผล 8 ตัวอย่าง รวมจากทั้งหมด 9 พื้นที่ในจังหวัดเชียงราย และเชียงใหม่
การตรวจวิเคราะห์พบโลหะหนักถึง 27 ชนิด โดยเฉพาะ สารหนู (As), แคดเมียม (Cd), นิกเกิล (Ni), และ ตะกั่ว (Pb) ในน้ำผิวดินมีระดับสูงเกินมาตรฐานความปลอดภัยในแทบทุกจุดตรวจ และพบว่าสูงที่สุดที่ลำน้ำแม่สาย อำเภอแม่สาย บริเวณชายแดนไทย–พม่า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกิดน้ำหลากแรก
ด้านตะกอนดินและดิน พบการปนเปื้อนของโลหะหนักเช่นกัน โดยมีสารพิษเกินค่าความปลอดภัยหลายชนิด อาทิ โครเมียม (Cr), ทองแดง (Cu), สังกะสี (Zn) และอื่นๆ ขณะที่ผลตรวจพืชผลพบว่า โลหะหนักยังไม่สูงพอที่จะเป็นอันตรายต่อการบริโภค ณ เวลานี้
จุดเสี่ยงสูงสุด ชายแดนไทย-พม่า
จากการประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชน พบว่า พื้นที่ชายแดนไทย–พม่า อ.แม่สาย เป็นจุดที่มีความเสี่ยงสูงสุด โดยสารพิษที่ไม่ก่อให้เกิดมะเร็งรวมกันแล้วมีค่าความเสี่ยงเกินระดับที่ยอมรับได้ถึง 100 เท่า ส่วนสารพิษที่ก่อให้เกิดมะเร็ง พบว่าแทบทุกพื้นที่อยู่ในระดับเสี่ยงสูงมาก ยกเว้นที่บ้านฟาร์มสัมพันธกิจที่มีค่าความเสี่ยงต่ำกว่า
“ค่าที่พุ่งขึ้นหลังฝนแรกไม่ใช่เรื่องน่าแปลก เพราะน้ำหลากแรกจะชะล้างสารพิษสะสมจากแหล่งต่างๆ เข้าสู่แม่น้ำโดยตรง แต่จุดแม่สายค่าสูงผิดปกติ ต้องมีการตรวจสอบต้นตออย่างจริงจัง” ผศ.ดร.ว่าน กล่าว
อย่าปล่อยให้ ‘สารพิษไร้พรมแดน’ ลุกลาม
"เพียรพร ดีเทศน์" ผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์ องค์การแม่น้ำนานาชาติ ระบุว่า ปัญหานี้เรื้อรังมานาน และมีสัญญาณจากการตรวจวิเคราะห์หลายครั้งก่อนหน้า แต่ภาครัฐกลับมักอ้างว่า “ค่าไม่เกินมาตรฐาน” หรือ “แนวโน้มยังคงที่” ซึ่งสะท้อนว่า รัฐยังไม่รับมือกับปัญหาอย่างจริงจัง
“น้ำในลุ่มน้ำกกและสายคือแหล่งน้ำกิน น้ำใช้ น้ำเกษตร หากมีสารพิษเจือปน ย่อมเข้าสู่ร่างกาย เข้าสู่ระบบนิเวศทั้งหมด ถ้ารัฐยังเพิกเฉย ความเสียหายจะกระทบต่อคนทั้งจังหวัด และอาจลามถึงแม่น้ำโขง” เพียรพรกล่าว พร้อมเรียกร้องให้รัฐปฏิบัติต่อสถานการณ์นี้ “ตามระดับความรุนแรงที่แท้จริง”
เหมืองแร่แรร์เอิร์ธ – รัฐต้องกล้าตรวจสอบ
"เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง" ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ ชี้ว่า แม้การตรวจสอบพืชผลครั้งนี้ยังไม่พบสารพิษระดับอันตราย แต่ต้นเหตุของมลพิษคือเรื่องใหญ่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะ เหมืองแร่แรร์เอิร์ธ ที่เชื่อว่ามีอยู่ในพื้นที่ และอาจเป็นตัวการสำคัญของการปนเปื้อน
“หากรัฐไทยไม่สามารถบังคับใช้มาตรการกับประเทศต้นทางหรือควบคุมเหมืองได้ พื้นที่ลุ่มน้ำกกจะกลายเป็นเขตปนเปื้อนขนาดใหญ่ที่สุดของไทย และอาจใหญ่ที่สุดของอาเซียน” เพ็ญโฉมกล่าว พร้อมเตือนถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่เริ่มซบเซาและความเสี่ยงในการเกิดความยากจนใหม่ในพื้นที่
แก้ปัญหา - เริ่มจากความจริงและข้อมูลชุมชน
"สมพร เพ็งค่ำ" ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน กล่าวย้ำว่า ปัญหานี้ไม่ใช่แค่ปัญหาในระดับพื้นที่ แต่เป็น ปัญหาระหว่างประเทศ และต้องดำเนินการทุกระดับ ตั้งแต่ระดับชุมชนถึงอาเซียน
“เราไม่สามารถรอให้รัฐแก้เพียงลำพัง ต้องสร้างความรู้ให้ชาวบ้าน ดูแลตนเองได้ มีเครื่องมือ มีข้อมูล และสร้างระบบเตือนภัยเองด้วย นี่คือหัวใจของการจัดการสิ่งแวดล้อมในยุคนี้”
ที่มา : มูลนิธิบูรณะนิเวศ







