'แม่ฟ้าหลวง' บทบาท 'ที่ปรึกษายั่งยืน' สร้างสมดุลคน-ป่า-เศรษฐกิจ

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ บทบาท “ที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน” ชูแนวทาง “แก้จนด้วยธรรมชาติ” พัฒนาความรู้ คาร์บอนเครดิต – ความหลากหลายทางชีวภาพ สู่กลไกเศรษฐกิจใหม่
KEY
POINTS
- มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ สานต่อตำราแม่ฟ้าหลวง เดินหน้าสู่บทบาท “ที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน”
- ชูแนวทาง “แก้จนด้วยธรรมชาติ” พัฒนาคาร์บอนเครดิต – ความหลากหลายทางชีวภาพ สู่การสร้างสมดุล ชุมชน – สิ่งแวดล้อม
- สร้างกลไกเศรษฐกิจใหม่ ที่ให้คนอยู่กับป่าได้อย่างยั่งยืน พร้อม
- ส่งมอบผลลัพธ์เชิงรูปธรรมแก่ภาคธุรกิจและสังคม ตอบโจทย์การพัฒนาอย่างยั่งยืน
ปี 2568 ถือเป็นอีกปีที่ภาวะเศรษฐกิจโลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจ และการดำเนินชีวิตของคนไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งการแก้ปัญหาในภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศอาจไม่สามารถใช้เครื่องมือเศรษฐกิจแบบเดิมมาแก้ปัญหาได้ แต่ต้องหารูปแบบที่เหมาะสมสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และสร้างความยั่งยืนไปด้วยกัน
ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่ามูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เสนอแนวทางการแก้ปัญหาเชิงระบบด้วยรูปแบบการ “แก้จนด้วยธรรมชาติ” เป็นกลไกขับเคลื่อนประเทศ เน้นการแปลงทุนธรรมชาติให้กลายเป็นรายได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในประเด็นคาร์บอนเครดิตและความหลากหลายทางชีวภาพ ที่กำลังกลายเป็นกลไกเศรษฐกิจระดับโลก เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบาง
ทั้งนี้มูลนิธิฯได้วางเป้าการทำงานในเชิงกลยุทธ์ ทั้งในระดับประเทศและเวทีโลก โดยบูรณาการการดูแลธรรมชาติให้เกิดความยั่งยืนในทุกมิติ รวมถึงการมีหน้าที่เป็น “ทรัพยากรเชิงเศรษฐกิจ” ที่คนสามารถดูแลรักษาไปพร้อมกับการทำให้เป็นแหล่งสร้างรายได้ที่ยั่งยืน
“ท่ามกลางความไม่แน่นอนนี้ มีโอกาสซ่อนอยู่ โดยเฉพาะในแนวทาง "การปรับตัว - การบูรณาการ - การกระจายอำนาจ" สู่ชุมชนในระดับท้องถิ่น และใช้แนวทาง Nature-based Solutions หรือการใช้ธรรมชาติในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมควบคู่กัน” ม.ล.ดิศปนัดดา กล่าว
เขาขยายความว่าประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการพัฒนาคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) และ เครดิตความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Credit) ซึ่งเป็นกลไกใหม่ของโลกที่เปลี่ยนการดูแลทรัพยากรธรรมชาติให้กลายเป็นมูลค่าเชิงเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
โดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ คือหนึ่งในองค์กรที่มีพื้นที่ทำงานเชิงลึกยาวนานกว่า 30 ปี ซึ่งปัจจุบันได้ขยายผลออกไปครอบคลุมในหลายพื้นที่แทบทุกภูมิภาคของไทย พื้นที่เหล่านี้เองนอกจากจะเป็นแหล่งผลิตคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงที่ให้มากกว่าเครดิต แต่ยังสร้างรายได้แก่ชุมชน และเพิ่มคุณภาพของระบบนิเวศของพื้นที่ป่าที่มูลนิธิฯ ดูแลด้านความหลากหลายทางชีวภาพไปจนถึงกลไกการประเมิน biodiversity credit ของประเทศในอนาคต
โดยความสำเร็จของการทำงานในเรื่องคาร์บอนเครดิตมีผลที่เป็นรูปธรรม โดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จะส่งมอบคาร์บอนเครดิตให้กับ 8 บริษัท ที่เคยลงนามเป็นพันธมิตรในงานสัมมนา MFLF Sustainability Forum 2025 ซึ่งจะเป็นการระดมแนวคิดหาทางออกการปรับตัวในสภาวะโลกร้อนหรือการเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศในสภาวะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาปรับนโยบายสิ่งแวดล้อมขนานใหญ่ ในวันที่ 22 กันยายน 2568 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
โดยในงานดังกล่าวยังมีไฮไลต์เป็นการส่งมอบคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชนในโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่ได้รับการรับรองโดย อบก. ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และพะเยา จำนวน 12 โครงการ โดยมอบให้กับ 8 องค์กร ที่เข้าร่วมโครงการในระยะที่ 1 เมื่อปี 2563
ส่วนในเรื่องของ ความหลากหลายทางชีวภาพ มูลนิธิเม่ฟ้าหลวงฯได้มีการจัดทำฐานข้อมูลในเรื่องนี้อย่างเข้มข้นในพื้นที่อนุรักษ์นอกเขตอนุรักษ์ในพื้นที่ดอยตุง เพื่อการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเศรษฐกิจชีวภาพในอนาคต นอกจากนี้มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จะร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ กับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) และสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (สพภ.) ผลักดันแผนความหลากหลายทางชีวภาพระดับชาติ (NBSAP 2566-2570) โดยเน้นการพัฒนาเครื่องมือทางการเงิน
ทั้งนี้การทำงานของมูลนิธิฯ ยิ่งชัดเจนขึ้น เมื่อได้มีโอกาสเข้าร่วมเวที Climate Change ไปพร้อมๆ กับการขยายเครือข่ายการดูแลป่า และชุมชนผ่านความร่วมมือจากเครือข่ายภาคี ทั้งในไทยและต่างประเทศทั่วโลก ตอกย้ำว่า“ตำราสมเด็จย่า” ที่มุ่งเน้นการสร้างระบบนิเวศของ “คน-ป่า-เศรษฐกิจ” เป็นทางออกที่โลกกำลังมองหา โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งมีบริบทเฉพาะตัว “สัดส่วนพื้นที่ป่าต่อประชากรในประเทศไทยลดลงอย่างมาก อุปมาให้เห็นภาพ หากเดินเข้าไปในป่าเมืองไทย ทุก ๆ 1.5 ไร่ จะพบคน 1 คน ขณะที่ในป่าอเมซอน ต้องเดินกว่า 1,000 ไร่ จึงจะเจอคน 1 คน” ข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นว่าด้วยข้อจำกัดด้านพื้นที่ดังกล่าว ประเทศไทยมีประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าและพึ่งพิงป่าทางตรงมากกว่าประเทศอื่นๆ หลายร้อยเท่า ทำให้การอนุรักษ์ต้องไม่ใช่แค่เรื่องของธรรมชาติ แต่เป็นเรื่องของคนด้วย โดยเฉพาะการออกแบบทางเลือกที่ให้คนอยู่กับป่าได้อย่างยั่งยืน
ม.ล.ดิศปนัดดากล่าวต่อไปปัจจุบันมูลนิธิฯจะให้ความสำคัญกับการดำเนินงานผ่านการปฏิบัติงานเชิงรุกของสายงานที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน (Sustainability Advisory - SuA) โดยสายงานนี้จะสร้างแรงกระตุ้นที่สำคัญให้องค์กรต่างๆ ในด้านความยั่งยืนทุกมิติที่จับต้องได้ ลงมือทำได้จริง ทำหน้าที่ขยายขอบข่ายความร่วมมือระดับประเทศและสากลที่มุ่งสร้างความยั่งยืนทุกมิติให้เกิดผลวงกว้างขึ้น ไปพร้อม ๆ กับการเป็นที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนแก่ภาครัฐ เอกชน และองค์กรระหว่างประเทศ
โดยให้บริการทั้งเชิงกลยุทธ์และภาคปฏิบัติ ตั้งแต่การดำเนินโครงการ T-VER, การวางแผน Net Zero & Circular Economy, Zero Waste to Landfillและการพัฒนาผู้นำ ESG รุ่นใหม่ โดยที่ผ่านมาได้ดำเนินการให้คำปรึกษาและฝึกอบรมให้กับภาครัฐ องค์กรระหว่างประเทศ และภาคเอกชนในหลายอุตสาหกรรม ได้แก่ ภาคการเกษตร อาหารและเครื่องดื่ม พลังงาน การเงิน อสังหาริมทรัพย์ ท่องเที่ยว การผลิต และอุตสาหกรรมบันเทิง เป็นต้น
โดยการเดินหน้าสายงานที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนนั้นได้เริ่มตั้งแต่ปี 2567 โดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้จัดตั้งหน่วยงานที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน เพื่อขยายผลตำราแม่ฟ้าหลวงให้เกิดความเปลี่ยนแปลงด้านความยั่งยืนในวงกว้าง ผ่านการให้บริการปรึกษา ดำเนินโครงการ ฝึกอบรม และสร้างเครือข่ายพันธมิตร ในเรื่องที่มูลนิธิฯ มีความเชี่ยวชาญ เช่น โครงการพัฒนาตามหลักการ “ปลูกป่า ปลูกคน” การจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม การจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ และการพัฒนาชุมชน เป็นต้น เพื่อให้องค์กรต่างๆ รวมถึงภาคเอกชน สามารถนำวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนขององค์กรสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม (last mile implementation solution) และขยายผลกระทบเชิงบวกในวงกว้างร่วมกัน
หน่วยงานที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน ดำเนินงานผ่านการบูรณาการองค์ความรู้และผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานต่างๆ ของมูลนิธิฯ โดยมุ่งแก้ไขปัญหาอย่างครบวงจร เชื่อมโยงมิติสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจเข้าด้วยกัน ตามตำราแม่ฟ้าหลวง
ทั้งนี้บริการที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนของมูลนิธิฯ มุ่งเน้นการนำองค์ความรู้และประสบการณ์ที่มูลนิธิฯ สั่งสมจากการดำเนินงานจริงในพื้นที่ มาพัฒนาเป็นบริการที่สามารถตอบโจทย์องค์กรต่างๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรม ครอบคลุมประเด็นต่างๆ ได้แก่
1,การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดยมูลนิธิฯ มีประสบการณ์ตรงจากการจัดการขยะสู่บ่อฝังกลบเป็นศูนย์ (Zero Waste to Landfill) ความมุ่งมั่นในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) และการส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) จึงเป็นที่ปรึกษาให้กับองค์กรที่มุ่งมั่นขับเคลื่อนเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม
2.คาร์บอนเครดิต มูลนิธิฯ ขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยงานรับรองก๊าซเรือนกระจกกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) สามารถทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบความใช้ได้ (Validator) และทวนสอบ (Verifier) โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานประเทศไทย (T-VER) และปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่องค์กรปล่อย (CFO) ทีมที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมของมูลนิธิฯ ได้ให้บริการที่ปรึกษาขึ้นทะเบียนโครงการ และการทวนสอบโครงการ T-VER กับบริษัทในหลากหลายอุตสาหกรรม รวมทั้ง เกษตร อาหารและเครื่องดื่ม พลังงาน ค้าปลีก การผลิต และภาครัฐ เป็นต้น
3.ทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ แนวทางการพัฒนาเชิงพื้นที่ของมูลนิธิฯ อยู่บนหลักคิดของการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลระหว่างคนกับทรัพยากรธรรมชาติ โดยการบริหารจัดการน้ำและการจัดการการใช้พื้นที่เป็นขั้นตอนพื้นฐานที่สำคัญ นอกจากนั้น มูลนิธิฯ มีประสบการณ์ฟื้นฟูและอนุรักษ์พื้นที่ป่ากว่า 600,000 ไร่ ควบคู่กับการยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีการพัฒนาฐานข้อมูลที่ชัดเจน ปัจจุบัน มูลนิธิฯ ได้นำกรอบการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ผลกระทบ และการพึ่งพาธรรมชาติตามมาตรฐานสากล Task Force on Nature-related Financial Disclosures (TNFD) มาประยุกต์ใช้อีกด้วย จึงสามารถแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ให้กับองค์กรต่างๆ ที่ให้ความสำคัญกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
4.การพัฒนาชุมชนและการสร้างเครือข่ายพันธมิตร มูลนิธิฯ มีโมเดลการพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนที่ผ่านการพิสูจน์ผลลัพธ์แล้วในหลายพื้นที่ พร้อมทีมงานที่มีประสบการณ์สูงในการขับเคลื่อนกระบวนการ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ซึ่งสามารถนำไปถ่ายทอดและขยายผลผ่านความร่วมมือกับองค์กรต่างๆ โดยมุ่งสร้างคุณค่าร่วม (shared value) กับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม และชุมชน เพื่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกที่ยั่งยืนและวัดผลได้
ทั้งนี้ หน่วยงานที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนได้ดำเนินการให้คำปรึกษาและฝึกอบรมให้กับภาครัฐ องค์กรระหว่างประเทศ และภาคเอกชนในหลายอุตสาหกรรม ได้แก่ ภาคการเกษตร อาหารและเครื่องดื่ม พลังงาน การเงิน อสังหาริมทรัพย์ ท่องเที่ยว การผลิต เป็นต้น







