มิติใหม่แห่งอนาคต 'อาหาร กำหนดโลกของเรา' เปิดประตูสู่ระบบอาหารยั่งยืน-สุขภาพดี สร้างเม็ดเงินแสนล้าน

มิติใหม่แห่งอนาคต 'อาหาร กำหนดโลกของเรา' เปิดประตูสู่ระบบอาหารยั่งยืน-สุขภาพดี สร้างเม็ดเงินแสนล้าน

ร่วมปฏิวัติจานอาหารของคุณ เพื่อพลิกโฉมโลกและกระตุ้นเศรษฐกิจไทยนับล้านล้านบาท PE Collective เปิดวิสัยทัศน์ระบบอาหารยั่งยืนและดีต่อสุขภาพ พร้อมเผยโอกาสทองที่ซ่อนอยู่ในทุกคำที่คุณเลือกบริโภค

KEY

POINTS

  • ภาคอาหารเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 1 ใน 3 ของทั้งหมด การปรับสมดุลการบริโภคโปรตีนพืชและสัตว์จึงเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืน
  • การปรับเปลี่ยนระบบอาหารในไทยมีศักยภาพสร้างเม็ดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจได้ถึง 1.3 ล้านล้านบาท และสร้างงานใหม่กว่า 1.15 ล้านตำแหน่งภายในปี 2050
  • การบริโภคอาหารที่สมดุลและยั่งยืนสามารถเพิ่ม "อายุของคุณภาพชีวิตที่ดี" ให้กับคนไทย และช่วยลดภาระงบประมาณสาธารณสุขจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)

PE Collective องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว ได้จุดประกายความหวังใหม่ในการสร้าง "ระบบอาหารที่ยั่งยืนและดีต่อสุขภาพ" พร้อมเปิดเผยข้อมูลสุดทึ่งที่แสดงให้เห็นว่า การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค ไม่ใช่แค่ทางรอดของโลก แต่ยังเป็นโอกาสทองทางเศรษฐกิจและสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทย 

วิกฤตสภาพภูมิอากาศ...นาฬิกาเดินหน้าไม่หยุด

จักรชัย โฉมทองดี ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Tit Collective กล่าวว่าท่ามกลางความท้าทายของวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่เหลือเวลาเพียงน้อยนิดในการควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงเกิน 1.5 องศา การปฏิรูประบบอาหารจึงกลายเป็นความเร่งด่วนที่ไม่อาจมองข้ามได้ เพราะปัจจุบัน ภาคอาหารมีส่วนรับผิดชอบการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 1 ใน 3 ของทั้งหมด โดย 2 ใน 3 มาจากห่วงโซ่อุปทานของปศุสัตว์ จากการคาดการณ์ หากไม่มีการเปลี่ยนแปลง การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคเกษตรทั่วโลกจะพุ่งสูงถึง 21 กิกะตันต่อปีภายในปี 2593 ซึ่งห่างไกลจากเป้าหมาย 6 กิกะตันต่อปีที่จะช่วยให้โลกพ้นวิกฤตได้อย่างมาก

3 กลยุทธ์กอบกู้วิกฤต ไม่ใช่ทางเลือก แต่คือ "วิชาบังคับ" ที่ต้องทำร่วมกัน

PE Collective ชี้ให้เห็น 3 วิธีหลักที่ต้องดำเนินการควบคู่กันเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคอาหาร

1.การจัดการขยะอาหาร (Food Waste): ลดขยะอาหารลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2593 จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 1 กิกะตันต่อปี เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำอย่างจริงจัง

2.การปรับปรุงการผลิต (Improvement of Production Practices): ผสมผสานวิทยาศาสตร์ เช่น การพัฒนาสายพันธุ์พืช/สัตว์ และการใช้มูลสัตว์ผลิตก๊าซชีวภาพ เข้ากับแนวทางธรรมชาติอย่างเกษตรกรรมยั่งยืน (regenerative agriculture) จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อีก 5 กิกะตันต่อปี

 

3.การปรับสัดส่วนโปรตีน (Food System Transformation): นี่คือหัวใจสำคัญ! ด้วยศักยภาพในการลดก๊าซเรือนกระจกสูงสุดถึง 8 กิกะตันต่อปี โดยเน้นการปรับสมดุลระหว่างโปรตีนพืชกับโปรตีนสัตว์ ไม่ใช่การเลิกบริโภคเนื้อสัตว์ แต่คือการเพิ่มสัดส่วนพืชในอาหารมากขึ้น ตามแนวทางของ EAT-Lancet Commission ที่คำนึงถึงขอบเขตของโลกและสุขภาพสูงสุด

น่าสนใจคือ การปรับสัดส่วนโปรตีนนี้ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนสูงสุดในการลดก๊าซเรือนกระจกถึง 1:28 เมื่อเทียบกับการลดขยะอาหาร (1:23) และการปรับปรุงการผลิต (1:18) นี่แสดงให้เห็นว่า การลงทุนในระบบอาหารที่เน้นพืชเป็นหลักนั้นคุ้มค่าอย่างยิ่ง

พลิกโฉมประเทศไทย โอกาสทองทางเศรษฐกิจและสุขภาพ

ประเทศไทยมีศักยภาพมหาศาลในการเป็นผู้นำด้านระบบอาหารยั่งยืน จากการวิจัยร่วมกับ A.R.E Research Engagement, MABBA และ สวช. หากประเทศไทยปรับสัดส่วนโปรตีนจากสัตว์และพืชเป็น 50:50 ภายในปี 2593 ตามข้อตกลงปารีส จะเกิดผลลัพธ์ที่น่าตื่นเต้น

  • GDP พุ่งกระฉูด: มีเม็ดเงินส่วนเพิ่มเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยสูงถึง 1.3 ล้านล้านบาท!
  • สร้างงานมหาศาล: เกิดตำแหน่งงานใหม่ในระบบอาหารถึง 1.15 ล้านตำแหน่ง!

ปลดปล่อยพื้นที่: ประหยัดพื้นที่ได้ประมาณ 12 ล้านไร่ เทียบเท่าขนาดจังหวัดนครราชสีมา เปิดโอกาสในการฟื้นฟูธรรมชาติและส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืน

 

นอกจากนี้ ผลกระทบเชิงบวกต่อสุขภาพก็เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ การบริโภคตามแนวทาง EAT-Lancet สามารถเพิ่ม "ปีคุณภาพชีวิตที่ดี" (Health Span) ได้ถึง 150 ล้านปีทั่วโลก คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 3.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 100 ล้านล้านบาท)

สำหรับคนไทย แม้ค่าเฉลี่ยอายุจะอยู่ที่ 74.3 ปี แต่ "อายุของคุณภาพชีวิตที่ดี" เฉลี่ยเพียง 67.8 ปี ทำให้มีช่วงเวลาสุขภาพไม่ดีเกือบ 6 ปีครึ่ง ซึ่งส่งผลให้งบประมาณกระทรวงสาธารณสุขกว่า 52% หมดไปกับโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) การปรับเปลี่ยนอาหารจะช่วยลดภาระนี้ได้อย่างมหาศาล

คนไทย "โปรตีนมั่นคง" แต่ยังไม่สมดุล

ข้อมูลสำรวจปี 2556-2562 เผยว่าคนไทยมีแนวโน้มบริโภคโปรตีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนอยู่ในระดับ "โปรตีนมั่นคง" แต่สัดส่วนกลับตรงข้ามกับที่ EAT-Lancet แนะนำ คือ บริโภคโปรตีนสัตว์ 70% และโปรตีนพืช 30% โดยเฉพาะเนื้อแดงและเนื้อแปรรูปที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นี่คือ "พื้นที่" ที่สำคัญสำหรับการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้คนไทยได้รับประโยชน์สูงสุดทั้งจากสุขภาพที่ดีขึ้นและโอกาสทางเศรษฐกิจที่มาพร้อมกัน

"อนาคตอยู่ในจานของทุกท่าน"

PE Collective ย้ำเตือนว่า การชะลอหรือหยุดนาฬิกาสภาพภูมิอากาศเป็นไปได้ และการสร้าง "โปรตีนสมดุล" คือคำตอบที่จะช่วยแก้ปัญหาวิกฤตได้หลายด้านพร้อมกัน การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น ผู้บริโภค ที่ต้องเข้าใจและลงมือทำ, ภาครัฐ ที่ต้องมีนโยบายที่เหมาะสม, ภาคธุรกิจ ที่ต้องเป็นกลไกขับเคลื่อน และ เกษตรกร ที่ต้องผลิตอาหารที่ดีมีคุณภาพ

"อนาคตอยู่ในจานของทุกท่าน" คือข้อสรุปที่ทรงพลัง ที่ชวนให้ทุกคนตระหนักว่า ทุกการเลือกบริโภคในแต่ละวันมีส่วนกำหนดอนาคตของระบบอาหารและโลกที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง