จุฬาฯ เคลื่อนพล ร่วมแก้แม่น้ำภาคเหนือ ปนสารพิษจากเหมืองแรร์เอิร์ธเมียนมา

คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งคณะทำงานร่วมอาจารย์หลายสาขา ร่วมแก้ปัญหาแม่น้ำภาคเหนือปนสารพิษจากเหมืองแรร์เอิร์ธเมียนมา อาศัยข้อมูล วิจัย และการหารือร่วมหลายฝ่าย
KEY
POINTS
- แร่แรร์เอิร์ธมีจำกัดและพบเฉพาะในบางพื้นที่ มีความสำคัญในอุตสาหกรรมไฮเทคและอิเล็กทรอนิกส์
- การสกัดมักใช้สารเคมีที่หากควบคุมไม่ดี จะส่งผลกระทบรุนแรง
- การทำเหมืองแรร์เอิร์ธแบบต้นทุนต่ำในพื้นที่ควบคุมสิ่งแวดล้อมไม่เข้มงวด เช่น ชายแดนเมียนมา ทำสารพิษและโลหะหนักที่ไหลลงสู่แม่น้ำ
- คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งคณะทำงานร่วมอาจารย์หลายสาขา
- การแก้แบบอาศัยข้อมูล วิจัย และการหารือร่วมหลายฝ่าย
- จุฬาฯ พร้อมทำงานวิจัยและช่วยเหลือชุมชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
สถานการณ์มลพิษจากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธบริเวณชายแดนเมียนมา กำลังกลายเป็นวิกฤติที่สร้างความกังวลต่อประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อแม่น้ำกกและแม่น้ำโขง แต่ยังสะเทือนต่อความมั่นคงทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เห็นความสำคัญของการร่วมมือ เตรียมระดมนักวิจัยพัฒนานวัตกรรมรับมือปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเน้นย้ำถึงความร่วมมือระหว่างภาควิชาการ รัฐ และนานาชาติ ในการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและอนาคตของคนรุ่นหลัง
เหมืองทุนต่ำก่อสารพิษอันตราย
"ดร.พีท หอมชื่น" อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเหมืองแร่และปิโตรเลียม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวกับ ‘กรุงเทพธุรกิจ’ ว่า แร่แรร์เอิร์ธซึ่งเป็นธาตุสำคัญที่ใช้ในอุตสาหกรรมไฮเทคและอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ได้มีอยู่ในทุกประเทศ และมีอยู่เฉพาะบางประเทศเท่านั้น โดยสามารถพบได้ทั้งในแหล่งปฐมภูมิและแหล่งทุติยภูมิที่มาจากหางแร่ของแร่อื่นๆ เช่น แร่ดีบุก (ในรูปโมนาไซต์และซีนอไทม์) หรือละลายอยู่ในดิน
ดร.พีท อธิบายว่า การทำเหมืองและการสกัดแร่เพื่อเพิ่มความเข้มข้นของโลหะนั้น ส่วนใหญ่ใช้สารเคมีในกระบวนการ โดยมีทั้งกระบวนการทางฟิสิกส์และทางเคมี ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของแร่ อย่างไรก็ตาม หากกระบวนการแต่งแร่ใช้ "วิธีแบบที่มีต้นทุนต่ำ” จะทำให้เกิดของเสียและสารพิษอันตรายได้มาก ดังนั้น การทำเหมืองในพื้นที่ที่การควบคุมสิ่งแวดล้อมไม่เข้มงวด อย่างเช่นชายแดนเมียนมา อาจทำให้ผู้ประกอบการเลือกวิธีที่มีต้นทุนต่ำ ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหามลพิษ
“การทำเหมืองแร่โลหะจะต้องมีการบำบัดและจัดสร้างบ่อกักเก็บหางแร่หรือตะกอน เพื่อไม่ให้ไหลลงสู่ภายนอก น้ำที่ถูกระบายออกไปจะต้องมั่นใจว่าไม่มีโลหะหนักเจือปน”
คิดนวัตกรรมแก้มลพิษจากเหมือง
"ดร.พีท" กล่าวว่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกำลังจัดตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาเหมืองแร่ในเมียนมาที่ส่งผลกระทบต่อแม่น้ำกก การจัดตั้งคณะทำงานนี้เป็นผลมาจากการที่ท่านคณบดี คณะวิศวะกรรมศาสตร์ จุฬาฯ รับทราบถึงปัญหาและเห็นถึงความสำคัญที่ต้องร่วมมือกัน โดยจะมีอาจารย์จากหลายภาคส่วน เช่น อาจารย์ด้านนิวเคลียร์และอาจารย์ด้านแหล่งน้ำร่วมทีม
หนึ่งในแนวคิดเบื้องต้นที่หารือกันคือ การสร้างฝายชะลอฝุ่นและสารเคมี หรือตัวดักตะกอนในแม่น้ำ อย่างไรก็ตาม ดร.พีท มีข้อกังวลว่า ฝายอาจจะดักจับตะกอนดินและทรายได้มากกว่าโลหะหนักหรือสารเคมี เนื่องจากโลหะหนักมีน้ำหนักมากและอาจตกตะกอนตั้งแต่ฝั่งประเทศต้นทางแล้ว ยกเว้นถูกบดจนละเอียดมากๆ จนสามารถลอยมาได้ นอกจากนี้ การสร้างฝายยังอาจขัดขวางทางน้ำและสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นได้
หาวิธีที่เหมาะสมที่สุด
"ดร.พีท" กล่าวด้วยว่า การแก้ไขปัญหานี้ยังคงต้องมีการประชุมหารือและรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อหาวิธีที่เหมาะสมที่สุด หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) และกรมควบคุมมลพิษ ก็มีความกังวลและกำลังหาวิธีแก้ปัญหาเช่นกัน
ในฐานะสถาบันการศึกษา จุฬาฯจะเน้นการศึกษาและช่วยเหลือชุมชนในพื้นที่ แต่การแก้ไขปัญหาเชิงนโยบายระดับประเทศจะต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาล และพร้อมที่จะทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยอื่นๆ ในฐานะเครือข่ายนักวิจัย
“สถานการณ์สารพิษจากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธชายแดนเมียนมา กำลังเป็นปัญหาระดับวิกฤติ ที่ต้องการความร่วมมือจากทุกฝ่าย ไม่ใช่เรื่องของเครดิต แต่คือความรับผิดชอบร่วมกันในการปกป้องทรัพยากรของเราและคนรุ่นต่อไป”
การทำเหมืองยั่งยืน - Circular กันแร่หมดโลก
นอกจากนี้ "ดร.พีท" ยังกล่าวถึงแนวทางในอนาคตเพื่อแก้ไขปัญหาแร่ที่อาจหมดไป เนื่องจากแร่มีจำกัดและไม่สามารถเกิดใหม่ได้ทุกวัน ภาควิชาวิศวกรรมเหมืองแร่มีการศึกษาเรื่องการรีไซเคิลแร่ เช่น การนำหางแร่ที่เหลือจากการแต่งแร่ครั้งแรก ซึ่งอาจเก็บได้ไม่หมด 100% มาแต่งซ้ำด้วยเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นเมื่อราคาแร่เหมาะสม
รวมถึงการสกัดโลหะมีค่า เช่น ทองคำ เงิน ทองแดง หรือแรร์เอิร์ธ จากขยะอิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์มือถือ หรือแผงวงจร แม้ว่าการสกัดจากโลหะที่ผ่านการแปรรูปแล้วจะง่ายกว่าการหาตามธรรมชาติ แต่ก็อาจใช้พลังงานและเทคโนโลยีสูงกว่าในการแยกชนิด ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญในการจัดการปัญหาขยะและทรัพยากรในอนาคต







