กรมลดโลกร้อนเผยรายงานล่าสุด ก๊าซเรือนกระจกไทยเพิ่ม เสี่ยงเร่งภัยพิบัติ

กรมลดโลกร้อนเผยรายงานล่าสุด ก๊าซเรือนกระจกไทยเพิ่ม เสี่ยงเร่งภัยพิบัติ

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั่วโลกและในไทยรุนแรงต่อเนื่อง รายงาน IPCC ยืนยันว่า กิจกรรมมนุษย์เป็นต้นเหตุสำคัญ อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยในไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะปี 2555–2562

KEY

POINTS

  • การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั่วโลกและในไทยรุนแรงต่อเนื่อง
  • รายงาน IPCC (AR6) ปี 2564 ยืนยันว่า กิจกรรมมนุษย์เป็นต้นเหตุสำคัญ
  • อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยในไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะช่วงปี 2555–2562
  • ภาคพลังงานและอุตสาหกรรมคิดเป็น 75% ของการปล่อยทั้งหมด
  • ไทยตั้งเป้าบรรลุ “จุดสูงสุดของการปล่อย” ปี 2568 ตั้งเป้า “สมดุลคาร์บอน” ภายในปี 2593
  • แนวทางรับมือ 2 ด้านหลัก Mitigation (ลดการปล่อยก๊าซ + เพิ่มแหล่งกักเก็บ) และ Adaptation (ปรับตัวรับมือผลกระทบ ลดความสูญเสีย)

กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เผยแพร่รายงานฉบับล่าสุด “สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย ปี 2567” เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยในรายงานระบุว่า ทั่วโลกและประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีกิจกรรมของมนุษย์เป็นสาเหตุหลัก นานาประเทศต่างเร่งดำเนินมาตรการทั้งการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวเพื่อรับมือกับผลกระทบที่กำลังเกิดขึ้น

ก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ในช่วงปี พ.ศ. 2533-2562 ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รายงานการประเมินสถานการณ์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ฉบับที่ 6 (AR6) ของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ในปี พ.ศ. 2564 ระบุชัดเจนว่า กิจกรรมของมนุษย์เป็นสาเหตุหลักที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของระบบภูมิอากาศ เช่น การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากภาคพลังงานและอุตสาหกรรม การใช้ที่ดิน การขยายตัวของเมือง และกิจกรรมอื่นๆ

สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความเสี่ยงที่มนุษย์จะต้องได้รับผลกระทบ เช่น อุณหภูมิโลกสูงขึ้น การกระจายตัวของฝนเปลี่ยนแปลง เกิดสภาพอากาศสุดขั้ว ระบบน้ำและธารน้ำแข็งเปลี่ยนแปลง รวมถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง ผลกระทบเหล่านี้ส่งผลต่อหลายภาคส่วน ทั้งทรัพยากรน้ำ การเกษตร การท่องเที่ยว ทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศ และที่อยู่อาศัยของมนุษย์

2 แนวทางรับมือ

เพื่อรับมือสถานการณ์ดังกล่าว นานาประเทศได้ให้ความสำคัญกับมาตรการตาม 2 แนวทางหลัก ได้แก่ การลดก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มแหล่งกักเก็บ (Mitigation) และ การปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อลดความสูญเสีย (Adaptation) เวทีการประชุมผู้นำโลก หรือการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Conference of Parties: COP) ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC)

มีเป้าหมายหลักคือ การควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม การเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวของสังคมจากผลกระทบ และการสนับสนุนเงินทุนในการดำเนินการที่มุ่งสู่การพัฒนาสังคมคาร์บอนต่ำ

อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยไทยเพิ่มสูงขึ้น

สถานการณ์ของประเทศไทย สะท้อนภาพแนวโน้มเดียวกัน โดยใน ช่วงปี พ.ศ. 2543 – 2565 ประเทศไทยมีแนวโน้มการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจาก ภาคพลังงาน กระบวนการผลิตอุตสาหกรรม และการใช้ผลิตภัณฑ์ ซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ 75 ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดของประเทศไทย

ในปี พ.ศ. 2565 ประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม 385,941.14 กิโลตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือคิดเป็นประมาณเกือบร้อยละ 1 ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลก

จากสถานการณ์จำลองตั้งแต่ปี พ.ศ. 2494-2564 แสดงให้เห็นว่าอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยของประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะช่วงปี พ.ศ. 2555-2562 เป็นช่วงเวลาที่อุณหภูมิเฉลี่ยสูงที่สุด สิ่งนี้ทำให้มีแนวโน้มความเสี่ยงและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรุนแรงขึ้น เช่น อุณหภูมิที่สูงขึ้น ภาวะฝนตกหนัก ภาวะฝนทิ้งช่วงห่างจนมีแนวโน้มการเกิดภัยแล้ง อุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น หรือความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต. ซึ่งส่งผลกระทบทั้งทางเศรษฐกิจ ระบบนิเวศ การดำรงชีวิต และสุขภาพของประชาชน

ประเทศไทยได้กำหนดเป้าหมายการบรรลุจุดสูงสุดของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมของประเทศ (Peak Greenhouse Gas Emission Year) ในปี พ.ศ. 2568 ภายหลังจากนั้นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยจะเริ่มลดลง โดยเป็นไปตามยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ (Thailand’s Long-Term Low Greenhouse Gas Emission Development Strategy: LT-LEDS)

ยุทธศาสตร์นี้กำหนดเป้าหมายการบรรลุ ความสมดุลทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี พ.ศ. 2593 และเป้าหมายการบรรลุ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emission) ในปี พ.ศ. 2608

นโยบาย-แผน-มาตรการ

ในการนี้ ประเทศไทยมีนโยบาย แผน และมาตรการเพื่อจัดการผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้แก่ การจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ การพัฒนากฎหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การพัฒนายุทธศาสตร์และแผนพัฒนาระดับชาติที่มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียน สังคมคาร์บอนต่ำ และการพัฒนาพื้นที่และเมืองอัจฉริยะที่น่าอยู่

รัฐบาลไทยมีแนวทางสำคัญในการดำเนินการมาตรการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้แก่

  • การพัฒนาองค์ความรู้ นวัตกรรม เทคโนโลยี และฐานข้อมูล ด้วยการจัดตั้งศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
  • การพัฒนามีมาตรการสนับสนุนการดำเนินการ เช่น มาตรการสนับสนุนการเติบโตที่มุ่งสู่เศรษฐกิจสังคมคาร์บอนต่ำ มาตรการด้านการปรับตัว และมาตรการขับเคลื่อนภาคีเครือข่าย
  • การสร้างความตระหนักรู้และเสริมสร้างศักยภาพ โดยการพัฒนาคน และสร้างจิตสำนึกในการรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมของกลุ่มต่างๆ
  • การเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการเจรจาและความร่วมมือในเวทีระหว่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม มาตรการและกลไกขับเคลื่อนนโยบายการลดก๊าซเรือนกระจกส่วนใหญ่ยังอยู่ในช่วงการพัฒนา เช่น ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมความคิดเห็น ซึ่งจะครอบคลุมรายละเอียดของมาตรการสำคัญต่างๆ ได้แก่ การรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคส่วนต่างๆ การพัฒนากลไกตลาดคาร์บอน การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงการสนับสนุนและพัฒนาเทคโนโลยี และการพัฒนาศักยภาพคนและสร้างความตระหนักในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ไทยเผชิญความท้าทายหลายด้าน

ในการดำเนินการด้านการลดก๊าซเรือนกระจก ประเทศไทยมุ่งเน้นการลดเชื้อเพลิงฟอสซิลและเปลี่ยนไปเป็นการใช้พลังงานสะอาด แม้จะมีการสนับสนุนเทคโนโลยีต้นทุนต่ำในการลดก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ แต่ก็ยังเผชิญความท้าทายหลายประเด็น ได้แก่

  • ข้อจำกัดด้านการศึกษาวิจัยเทคโนโลยีการลดก๊าซเรือนกระจกเชิงลึกที่มีความซับซ้อน (Deep Tech)
  • การพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทางเลือกใหม่ๆ เช่น ไฮโดรเจน ซึ่งส่วนใหญ่ยังเป็นการทดสอบในห้องปฏิบัติการ
  • ข้อจำกัดด้านเงินทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับผู้ประกอบการขนาดเล็กหรือวิสาหกิจขนาดย่อม
  • การติดตามตรวจสอบการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas Tracking) ในภาคส่วนต่างๆ ที่ยังไม่ครอบคลุมและเพียงพอ
  • การขาดการศึกษาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในทุกสาขา รวมถึงข้อจำกัดในการวิเคราะห์ผลกระทบทางสังคม โดยเฉพาะผลกระทบต่อแรงงานแต่ละกลุ่ม

ขาดข้อมูลในระดับพื้นที่

สำหรับการดำเนินการด้านการปรับตัวจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีการจัดทำแผนการดำเนินงานระดับชาติ และแผนรายสาขา เช่น สาขาเกษตร และสาขาสาธารณสุข รวมถึงการศึกษาแผนที่ความเสี่ยง

อย่างไรก็ตาม การปรับตัวมีความหลากหลาย และยังขาดข้อมูลในระดับพื้นที่และเทคโนโลยีที่จำเป็น ทำให้การคาดการณ์แนวโน้มความเสี่ยงในอนาคตมีข้อจำกัด นอกจากนี้ การศึกษาและประเมินความเสี่ยงและผลกระทบส่วนใหญ่ยังคงเป็นการศึกษาผลกระทบในบางสาขาเท่านั้น

รายงานระบุว่า การดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวที่ล่าช้า อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงในด้านต่างๆ เช่น มีต้นทุนความเสี่ยงและผลกระทบที่เกิดขึ้นหากไม่มีการดำเนินการ ซึ่งจะส่งผลต่อศักยภาพในการปรับตัวของมนุษย์และระบบนิเวศ

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก ลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และสามารถรับมือกับผลกระทบได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน จึงมีข้อเสนอแนะในการขับเคลื่อนผ่านมาตรการดำเนินงานเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ เป็นธรรม และยั่งยืน ดังนี้

1. ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี ที่เอื้อต่อการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัว โดยเฉพาะนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง (Deep Tech)

2. ส่งเสริมการประเมินความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสนับสนุนระบบการตรวจวัด การรายงาน และการทวนสอบ (MRV) ที่ชัดเจนและต่อเนื่อง

3. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมและความร่วมมือของภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม โดยเฉพาะชุมชนและประชาชนระดับพื้นที่

4. เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเพื่อสร้างความตระหนักรู้และเสริมสร้างศักยภาพ ของภาคส่วนต่างๆ ในทุกระดับ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรับมือต่อความเสี่ยงและผลกระทบ

5. สนับสนุนผู้ประกอบการหรือวิสาหกิจขนาดเล็ก ให้สามารถรับมือผลกระทบในช่วงการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานสะอาด หรือพลังงานหมุนเวียน

6. นำเครื่องมือและกลไกต่างๆ มาใช้ในการจัดการปัญหา อย่างเหมาะสม เช่น กฎหมาย มาตรการทางเศรษฐศาสตร์ การเงิน การคลัง การควบคุมและสั่งการ และการเข้าถึงฐานข้อมูล เพื่อสร้างความตระหนักในการบรรเทาและรับมือกับผลกระทบ

การดำเนินการจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม เพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกัน ดังนั้น จึงต้องมีมาตรการที่หลากหลายควบคู่กันเพื่อบรรลุเป้าหมาย และเพื่อให้ประเทศไทยเป็น สังคมที่มีความสามารถในการรับมือต่อสภาพภูมิอากาศ (Climate Resilient)