ไทยเร่งเครื่องสร้าง 'ระบบอาหารยั่งยืน' สู้ศึกเศรษฐกิจโลกผันผวน

ไทยเร่งเครื่องสร้าง 'ระบบอาหารยั่งยืน' สู้ศึกเศรษฐกิจโลกผันผวน

ท่ามกลางภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกที่พลิกผันจาก “กฎเกณฑ์สู่การอิงอำนาจ” ประเทศไทยกำลังเร่งปรับยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญ โดยเฉพาะในภาคส่วนอาหารและเกษตรกรรม เพื่อเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส และก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้าน “ระบบอาหารที่ยั่งยืน”

KEY

POINTS

  • ไทยเผชิญความท้าทายจากเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนและความเสี่ยงด้านภูมิอากาศ ทำให้ต้องเร่งปรับโครงสร้างสู่ "ระบบอาหารที่ยั่งยืน" เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน
  • รัฐบาลเดินหน้า 3 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ การเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) การเร่งเข้าเป็นสมาชิก OECD และการส่งเสริม SMEs ด้วยนวัตกรรม BCG
  • การปรับตัวสู่ "มาตรฐานสีเขียว" ถูกมองว่าเป็น "แต้มต่อ" และโอกาสในการเชื่อมธุรกิจไทยสู่ตลาดโลก ไม่ใช่อุปสรรคหรือภาระต้นทุน
  • เป้าหมายสำคัญคือการยกระดับบทบาทของไทยจากการเป็นเพียงผู้ตามกฎเกณฑ์ ไปสู่การเป็น "ผู้ร่วมออกแบบกติกา" ในเวทีการค้าระดับโลก

ระบบอาหารทั่วโลกปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 1 ใน 3 โดยเฉพาะจากภาคปศุสัตว์ แต่นี่คือโอกาสของไทยในการปรับสมดุลโปรตีน หันมาเน้นพืชผักมากขึ้น ซึ่งอาจสร้างมูลค่าเศรษฐกิจใหม่ 1.3 ล้านล้านบาท สร้างงานกว่า 1 ล้านตำแหน่ง และยกระดับสุขภาพประชาชน ประเด็นเหล่านี้ถูกหยิบยกและขยายผลในงาน Plant-Rich Food Forum & Culinary Experience ที่จัดโดยองค์กรระหว่างประเทศ Tilt Collective ร่วมกับ สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) และ The Cloud

ภูมิเศรษฐศาสตร์ผันผวน

"วีระพงษ์ ประภา" ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายผู้แทนการค้าไทย ได้ฉายภาพถึงความท้าทายที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ โดยโลกกำลังเปลี่ยนจากระบบการค้าแบบ "Rule-Based Order" ไปสู่ "Power-Based Order" ที่เครื่องมือทางภูมิเศรษฐศาสตร์ เช่น ภาษีและมาตรฐานสิ่งแวดล้อม กลายเป็นเครื่องมือต่อรองที่สำคัญ ปัจจัยเหล่านี้ผนวกกับวิกฤตการณ์ต่างๆ เช่น ความขัดแย้ง เงินเฟ้อ วิกฤตพลังงาน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้ไทยต้องเผชิญกับ "double exposure หรือความเสี่ยงในระดับซับซ้อน" ทั้งจากผลกระทบภายในประเทศต่อผลผลิตเกษตร และจากความปั่นป่วนของตลาดโลก

ภาคเกษตรกรรมของไทย ซึ่งมีสัดส่วนการจ้างงานสูงกว่า 37.5% แต่สร้าง GDP เพียง 9% ยังคงประสบปัญหาด้านผลิตภาพที่ต่ำ อีกทั้งยังเผชิญกับปัญหา Food Loss และ Food Waste ในระดับสูง และเป็นภาคส่วนที่เปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างยิ่ง โดยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 17.8% จากการทำนาและปศุสัตว์

อย่างไรก็ตาม ในวิกฤตนี้  "ระบบอาหารจึงเป็นแนวทางและแนวปฏิบัติในเชิงยุทธศาสตร์" ที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งไทยจะต้องเร่งปรับโครงสร้างไปสู่ "ระบบอาหารที่ปลอดภัย อาหารที่เป็นธรรม และระบบอาหารที่ยั่งยืน" เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน ความมั่นคงทางสังคม และความยืดหยุ่นต่อวิกฤตในอนาคต

ไทยเร่งเครื่องสร้าง 'ระบบอาหารยั่งยืน' สู้ศึกเศรษฐกิจโลกผันผวน

3 ยุทธศาสตร์พลิกโฉม จาก FTA สู่ OECD และ SMEs สีเขียว

ประเทศไทยกำลังเดินหน้า 3 ยุทธศาสตร์หลักเพื่อรับมือกับระเบียบการค้าใหม่

  1. Competitive Sustainability (ความยั่งยืนที่มีขีดความสามารถในการแข่งขัน): ไทยกำลังเร่งเจรจา FTA กับ EFTA โดยมีเป้าหมาย "เปิดตลาด" สำหรับสินค้าไทยคุณภาพ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ที่มีศักยภาพ สหภาพยุโรปถูกมองว่าเป็น "ตลาดคุณภาพ" ขนาดใหญ่ที่มีผู้บริโภคกว่า 400 ล้านคน การเจรจานี้มุ่งเน้นการสร้าง "Eco Partnership" ที่มีความเท่าเทียม และเน้นความรวดเร็วแต่ยังคงรักษาคุณภาพ
  2. การเข้าเป็นสมาชิก OECD: การเร่งเข้าเป็นสมาชิก OECD ภายในปี 2030 จะช่วยให้ไทยสามารถใช้ "เครื่องมือและกฎกติกาต่างๆ ใน OECD มาปรับมาปฏิรูปโครงสร้าง" ในด้านต่างๆ เช่น ธรรมาภิบาล ความโปร่งใส และการเติบโตที่ยั่งยืน นายวีรพงษ์ย้ำว่าแม้จะเป็น "benchmark ที่สูง แต่ก็เป็นโอกาส" และมองว่า FTA กับ OECD นั้น "ไปด้วยกัน มีความส่งเสริมซึ่งกันและกัน" โดยเฉพาะในบทที่เกี่ยวข้องกับ "ระบบอาหารที่ยั่งยืน" ซึ่งจะกลายเป็นเครื่องมือและเวทีสำคัญในการค้าการลงทุน
  3. การส่งเสริมและสนับสนุน SMEs และ Micro-Enterprises: รัฐบาลให้ความสำคัญกับการยกระดับ SMEs และวิสาหกิจขนาดเล็กผ่าน "นวัตกรรม BCG (Bio-Circular-Green Economy)" โดยมีเป้าหมายเพื่อ "สร้าง ecosystem และสร้างศักยภาพให้ SME ไทยไม่ถูกยกเว้นหรือถูก exclude จากโซ่อุปทานโลก" นโยบายที่มุ่งเน้นคือ การส่งเสริมการบริโภคอาหารจากพืช (Plant Rich Diet) ระบบเกษตรอัจฉริยะ Zero Waste และ Circular Food Chain รวมถึงการใช้กลไกทางภาษี เช่น การยกเว้นภาษีนำเข้าเทคโนโลยีสะอาดและเงินทุนสำหรับธุรกิจที่มีระบบตรวจสอบย้อนกลับ (traceability)

ไทยเร่งเครื่องสร้าง 'ระบบอาหารยั่งยืน' สู้ศึกเศรษฐกิจโลกผันผวน

มาตรฐานสีเขียวคือ "แต้มต่อ" ไม่ใช่อุปสรรค

แม้โลกจะเผชิญกับวิกฤตมากมาย แต่ก็เป็นโอกาสในการ "พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส" โดยการ "ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่" และ "เพิ่ม Productivity ให้กับภาคการเกษตร" การยอมรับ "มาตรฐานสีเขียว" ไม่ได้เป็นแค่อุปสรรคหรือต้นทุนที่สูงขึ้น แต่เป็น "สะพานเชื่อมให้ธุรกิจไทยไปในตลาดโลกได้มากขึ้น"

สิ่งสำคัญคือ ประเทศไทยไม่ควรเป็นเพียงผู้ตาม แต่ควรเป็น "ผู้ที่ร่วมออกแบบกติกา" ในเวทีโลก เพื่อให้ "เสียงของประเทศไทย เสียงของเอเชีย ขึ้นไปอยู่ในเวทีสากลได้" ผ่านการสร้างเครือข่ายและการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับทุกภาคส่วน เพื่อ "สร้างระบบอาหารที่ปลอดภัย เป็นธรรม และยั่งยืน และพร้อมที่จะเติบโตไปกับโลก" การปฏิรูปครั้งนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นการรับมือกับความท้าทาย แต่เป็นการวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับอนาคตที่ยั่งยืนของประเทศไทย