'Resilience Machine' กับความท้าทายเมืองไทย ลงทุนผิดทาง...ทำลายธรรมชาติ

'Resilience Machine' กับความท้าทายเมืองไทย ลงทุนผิดทาง...ทำลายธรรมชาติ

"Resilience" อาจกลายเป็นเครื่องมือทำลายระบบนิเวศและวิถีชีวิต หากยังคงเน้นลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแบบ "เทคอนกรีต" เสนอทางออกด้วย "Nature-based Solutions" และกระบวนการออกแบบร่วมกับชุมชน หวังทลายวงจรอุบาทว์การพัฒนาเมืองและบริหารจัดการน้ำแบบเดิมๆ

KEY

POINTS

  • การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างความยืดหยุ่น (Resilience) ที่มุ่งเน้นการก่อสร้างด้วยคอนกรีต เช่น กำแพงกั้นน้ำ กำลังกลายเป็นการทำลายระบบนิเวศทางธรรมชาติซึ่งเป็นระบบที่ฟื้นตัวได้ดีที่สุดอยู่แล้ว
  • การลงทุนผิดทิศทางนี้สร้าง "วงจรอุบาทว์" ที่การขยายตัวของเมืองทำลายพื้นที่ชุ่มน้ำ และการสร้างสิ่งปลูกสร้างเพื่อป้องกันพื้นที่หนึ่งกลับเป็นการผลักความเสี่ยงน้ำท่วมไปยังพื้นที่อื่น
  • ทางออกคือการเปลี่ยนทิศทางการลงทุนไปสู่ "Nature-based Solutions" (การแก้ปัญหาโดยใช้ธรรมชาติ) เพิ่มสัดส่วนโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว (Green Infrastructure) และส่งเสริมกระบวนการออกแบบที่เข้าใจระบบธรรมชาติและมีส่วนร่วมจากชุมชน

ท่ามกลางวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก แนวคิดเรื่อง "Resilience" (ความสามารถในการฟื้นตัว) และ "Climate Adaptation" (การปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ) ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญจากแวดวงนโยบายสาธารณะกำลังตั้งคำถามถึงทิศทางการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านความยืดหยุ่น โดยเตือนว่าอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ตรงกันข้าม นั่นคือการทำลายระบบนิเวศและวิถีชีวิตของผู้คน

"Resilience Machine" เครื่องจักรแห่งการทำลาย?

อ.ดร.นาอีม แลนิ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  กล่าวในงาน CLIMATE FINANCE TRACKER Uncovering Thailand's Flows ว่า ความกังวลหลักประการหนึ่งคือการที่ "Resilience" กลายเป็น "เครื่องมือหรือเครื่องจักรในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น" ดังที่ Simon Wood ได้อธิบายไว้ในหนังสือ "Resilience Machine" ซึ่งนำไปสู่การเทคอนกรีต สร้างกำแพงกั้นน้ำ หรือขยายพื้นที่เมืองอย่างไร้ทิศทาง ทำให้ระบบธรรมชาติที่มีอยู่เดิมถูกทำลาย ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า "Policy Maker หรือ Ecologist ทั่วโลก กังวลว่า resilient นโยบาย resilient ที่เรากำลังจะไปเนี่ย มันไปทำลายวิถีชีวิตของคน"

ประเด็นสำคัญที่ถูกเน้นย้ำคือ "ระบบที่ Resilience ที่สุดก็คือ Ecological Resilience" หรือธรรมชาติที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน เช่น ป่าชายเลนที่ช่วยป้องกันคลื่น หรือแม่น้ำที่ทำหน้าที่หน่วงน้ำท่วม แต่บ่อยครั้งนโยบายกลับขาดความเข้าใจพื้นฐานนี้ และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานกำลังทำลายระบบอันมีค่าเหล่านั้น

วงจรอุบาทว์ที่ต้องเร่งแก้ไข

การพัฒนาเมืองและการบริหารจัดการน้ำแบบเดิมๆ กำลังสร้าง "วงจรอุบาทว์" ที่ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่

  • วงจรการขยายตัวของเมือง (Urbanization Cycle): การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานนำไปสู่การพึ่งพาโครงสร้างเหล่านั้นมากขึ้น เมื่อเมืองโตขึ้นก็ต้องการกำแพงกั้นน้ำที่สูงขึ้น ซึ่งกลับเพิ่มความเสี่ยงน้ำท่วมในพื้นที่อื่น และการพัฒนาเมืองยังทำลายระบบธรรมชาติ คลอง และพื้นที่สีเขียวอย่างน่าตกใจ ส่งผลให้พื้นที่ชุ่มน้ำของไทยลดลงอย่างรวดเร็ว
  • วงจรน้ำ (Water Cycle): การพึ่งพิงแหล่งน้ำจากเขื่อนจำนวนมาก ทำให้ต้องพึ่งพิงโครงสร้างพื้นฐานมากยิ่งขึ้น โดยไม่ได้คำนึงถึง "ecological value หรือว่าการรักษาพื้นที่ชุ่มน้ำธรรมชาติ"
  • วงจรสภาพภูมิอากาศ/การเงิน (Climate/Funding/Financing Cycle): การป้องกันพื้นที่หนึ่งด้วยโครงสร้างพื้นฐาน เช่น กำแพงกั้นน้ำ เป็นการ "Risk Transfer" หรือถ่ายโอนความเสี่ยงไปยังพื้นที่อื่น ทำให้พื้นที่ที่ไม่ได้ป้องกันเปราะบางมากขึ้น และ "Climate Change ทำให้กระบวนการพวกนี้ มันรุนแรงมากยิ่งขึ้น"

 

ทางออก ลงทุนใน "การออกแบบที่ดี" และ "Nature-based Solutions"

แนวทางแก้ไขเพื่อออกจากวงจรอุบาทว์นี้ ด้วยการเปลี่ยนทิศทางการลงทุนไปสู่สิ่งสำคัญดังต่อไปนี้

  • ลงทุนในกระบวนการออกแบบและการวางแผนที่ดีขึ้น (Design Process): ไม่ใช่แค่การหา Solution แต่เป็นการ "ทำความเข้าใจระบบมากยิ่งขึ้น อันนี้คือเข้าใจ systematic understanding ระบบที่เรามีอยู่เนี่ย มันเป็นอย่างไง" การทำความเข้าใจระบบธรรมชาติที่มีความซับซ้อนถือเป็นหัวใจสำคัญของการออกแบบพื้นที่
  • ส่งเสริม Green Infrastructure/Nature-based Solutions: แม้โครงสร้างพื้นฐานแบบ Gray Infrastructure (คอนกรีต กำแพงกั้นน้ำ เขื่อน) ยังคงมีความสำคัญ แต่ "การจัดการเมืองต้องเข้าใจระบบมากยิ่งขึ้น ต้องหาทางเลือกอื่น ๆ มากยิ่งขึ้น" โดยเฉพาะ "Nature-based Solution" หรือ "Green Infrastructure" ประเทศไทยมีตัวอย่างที่ดีอยู่แล้ว เช่น "โครงการแก้มลิง" ของในหลวงรัชกาลที่ 9

ปัจจุบัน การลงทุนด้านน้ำส่วนใหญ่ยังคงเป็น Gray Infrastructure โดยมีเพียง "10% ที่เป็น Nature-based Solution" จากงบประมาณ 40,000 ล้านบาท ซึ่งน่ากังวลว่าโครงการ Green Infrastructure อาจถูกทำให้เป็น Gray Infrastructure เพียงแค่ "ปลูกหญ้าเลย" การเพิ่มสัดส่วน Nature-based Solutions สามารถทำได้ด้วยการ "ทำดีไซน์เพิ่ม เราทำไกด์ไลน์เพิ่ม" และ "มาดูไอ้ 49,000 ล้าน ของเราเนี่ย โครงการไหนบ้างที่จะเป็นโครงการ Green Infrastructure ได้บ้าง"

นอกจากนี้ การเปลี่ยนมุมมองจาก "มองน้ำเป็นศัตรู" มาเป็น "มองน้ำเป็นตัวเชื่อม" ก็เป็นสิ่งสำคัญ ดังตัวอย่างเมือง Utrecht ประเทศเนเธอร์แลนด์ที่เปลี่ยนถนนกลับเป็นคลอง

หลักการสำคัญเพื่อการปรับตัวอย่างยั่งยืน

เพื่อการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศอย่างยั่งยืน ผู้เชี่ยวชาญเน้นย้ำหลักการสำคัญ 3 ประการ:

  1. การพัฒนาเชิงพื้นที่และมีส่วนร่วม (Spatial Development & Participation): "Adaptation ต้องพัฒนาเชิงพื้นที่ ต้องออกแบบร่วมกันกับชุมชน" และต้อง "ลงทุนในกระบวนการออกแบบมากยิ่งขึ้น ต้องลงทุนในกระบวนการมีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น"
  2. การทลายไซโลหน่วยงาน (Break Down Silos): หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำและเมืองที่มีอยู่มากมายถึง 40-30 หน่วยงาน ควรมีการทำงานร่วมกันมากขึ้นเพื่อตอบโจทย์การบริหารจัดการน้ำของประเทศไทย

การออกแบบเพื่อการกักเก็บน้ำ การใช้น้ำ และการกรองน้ำ: ต้องคิดค้นวิธีใหม่ๆ ในการจัดการน้ำในเมืองให้มีประสิทธิภาพ

สำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

  • สำหรับสถาบันการเงิน/นักลงทุน (Bankers/Financialers): ควรพิจารณาลงทุนในโครงการที่ส่งเสริมความเข้าใจระบบธรรมชาติ การออกแบบที่มีคุณภาพ และ Nature-based Solutions เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบเชิงลบจาก "Vicious Cycle" และส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน
  • สำหรับผู้กำหนดนโยบายและหน่วยงานรัฐ (Policy Makers และหน่วยงานรัฐ): ควรทบทวนนโยบายและงบประมาณในการจัดการน้ำและเมือง โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนใน Green Infrastructure/Nature-based Solutions มากขึ้น ส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงาน และลงทุนในกระบวนการออกแบบและการมีส่วนร่วมของชุมชน
  • สำหรับนักพัฒนาและผู้วางแผนเมือง (นักพัฒนาและผู้วางแผนเมือง): ควรเปลี่ยนมุมมองในการจัดการน้ำจากศัตรูมาเป็นองค์ประกอบสำคัญในการออกแบบเมือง พิจารณาใช้ Nature-based Solutions ในโครงการพัฒนาต่างๆ และให้ความสำคัญกับการทำความเข้าใจระบบนิเวศและสังคมในพื้นที่ก่อนการออกแบบและพัฒนา

การปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศและการจัดการเมืองอย่างยั่งยืนในอนาคต ต้องก้าวข้ามการพึ่งพิงโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียว ไปสู่การทำความเข้าใจระบบธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง การออกแบบที่ชาญฉลาด และการลงทุนในแนวทางที่อาศัยธรรมชาติเป็นหลัก ซึ่งจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีกว่าสำหรับทั้งมนุษย์และสิ่งแวดล้อม