‘จีน’ ปลูกต้นไม้ สร้าง ‘กำแพงสีเขียว’ ทำประชาชนเป็น ‘ภูมิแพ้’ ทั่วเมือง

‘จีน’ ปลูกต้นไม้ สร้าง ‘กำแพงสีเขียว’ ทำประชาชนเป็น ‘ภูมิแพ้’ ทั่วเมือง

“กำแพงเขียวขนาดใหญ่” ของจีน เป็นโครงการที่รัฐบาลจีนใช้แก้ปัญหาแผ่นดินกลายเป็นทะเลทราย ก่อให้ประชาชนบริเวณโดยรอบป่วยเป็น “โรคภูมิแพ้”

KEY

POINTS

  • โครงการ “กำแพงสีเขียว” ของจีนที่ปลูกต้นไม้เพื่อแก้ปัญหาทะเลทรายและพายุทราย กลับส่งผลให้ประชาชนในหลายพื้นที่โดยรอบป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ละอองเกสรจำนวนมาก
  • ผลการวิจัยพบว่าสาเหตุหลักมาจากละอองเกสรของพืชสกุล "โกฐจุฬาลัมพา" (Artemisia) ซึ่งเป็นพืชหลักที่ใช้ในโครงการเนื่องจากทนทานต่อสภาพอากาศและป้องกันการกัดเซาะของทรายได้ดี
  • พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างเมืองหยูหลินและมองโกเลียใน มีอัตราผู้ป่วยโรคไข้ละอองฟางสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ จนกลายเป็นปัญหาสาธารณสุขที่รัฐบาลท้องถิ่นต้องให้ความสำคัญ
  • แม้ทางการจะพยายามแก้ไขโดยเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นที่ก่อให้เกิดอาการแพ้น้อยกว่า แต่กระบวนการเป็นไปอย่างเชื่องช้าเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูงและละอองเกสรยังสามารถปลิวมาจากพื้นที่ห่างไกลได้

กำแพงเขียวขนาดใหญ่” (Great Green Wall) ของจีน เป็นโครงการที่รัฐบาลจีนใช้แก้ปัญหาแผ่นดินกลายเป็นทะเลทราย และป้องกันพายุทรายพัดถล่มเมือง ด้วยการปลูกต้นไม้เป็นแนวป่าต้านลม ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา มีการปลูกป่าไปแล้วมากกว่า 187 ล้านไร่ ถึงแม้จะช่วยลดพายุฝุ่นได้ แต่ก็ก่อให้ประชาชนบริเวณโดยรอบป่วยเป็น “โรคภูมิแพ้

ปลายเดือนก.ค. เป็นจุดเริ่มต้นของความทุกข์ทรมานของประชาชนในเมืองหลวงของมองโกเลียใน ของประเทศจีน ด้วยโรคไข้ละอองฟาง ซึ่งเป็นอาการแพ้ที่เกิดจากการสูดดมละอองเกสรดอกไม้มานานหลายปี อาการของชาวบ้านค่อย ๆ แย่ลงตั้งแต่ปี 2018 โดยเริ่มจากอาการจามและเยื่อบุตาอักเสบ ไปจนถึงอาการไอจากภูมิแพ้ และกลายเป็นโรคหอบหืดในที่สุด

หลังจากการวิจัยมาหลายปี กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ชาวจีน พบว่า พืชสกุล “โกฐจุฬาลัมพา” (Artemisia) เป็นพืชที่ปลูกกันอย่างแพร่หลายในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน สำหรับการป้องกันการกัดเซาะของลมและทราย และเป็นหนึ่งในพืชหลักของโครงการกำแพงสีเขียวขนาดใหญ่ เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคเหล่านี้ในระดับโมเลกุล โดยเฉพาะละอองเกสรของโกฐจุฬาลัมพาที่มีสารก่อภูมิแพ้หลายชนิดในละอองเกสร ซึ่งออกฤทธิ์เร็วเป็นพิเศษตั้งแต่ปลายฤดูร้อนถึงกลางฤดูใบไม้ร่วง

ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ Science Daily ของรัฐบาลจีน กล่าวว่า การศึกษานี้ซึ่งดำเนินการร่วมกันโดยนักวิทยาศาสตร์จากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยซีอานเจียวทง และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ป่าไม้หยูหลิน ซึ่งตั้งอยู่ในมณฑลส่านซี ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน 

‘จีน’ ปลูกต้นไม้ สร้าง ‘กำแพงสีเขียว’ ทำประชาชนเป็น ‘ภูมิแพ้’ ทั่วเมือง

เมืองหยูหลิน ตั้งอยู่บริเวณจุดบรรจบของทะเลทรายเหมาอูซู่และที่ราบสูงดินลมหอบ (Loess Plateau) เคยเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการกลายเป็นทะเลทรายรุนแรงที่สุดของประเทศ รัฐบาลจึงแก้ปัญหานี้ด้วย ปลูกต้นเสจบรัชทราย ซึ่งเป็นพืชในสกุลโกฐจุฬาลัมพา มาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1950 และก็พิสูจน์ได้แล้วมาตรการนี้มีประสิทธิภาพสูง โดยทะเลทรายเหมาอูซู่หดตัวลงอย่างต่อเนื่อง และสร้างพื้นที่สีเขียวประมาณ 400 ก.ม.

อย่างไรก็ตาม มีรายงานกล่าวว่าประชาชนป่วยเป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้น จากการสำรวจเบื้องต้นในปี 2019 โดยหน่วยงานสาธารณสุขเมืองหยูหลิน ร่วมกับโรงพยาบาลวิทยาลัยการแพทย์ปักกิ่งยูเนียน พบว่าละอองเกสรจากต้นเสจทรายเป็นสาเหตุหลักของโรคภูมิแพ้จมูกอักเสบในภูมิภาค ซึ่งรุนแรงถึงขั้นที่รัฐบาลท้องถิ่นกำหนดให้การป้องกันและควบคุมโรคภูมิแพ้จมูกอักเสบที่กำลังดำเนินอยู่เป็นภารกิจสำคัญอันดับต้น ๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ตั้งแต่ปี 2023

แม้ว่าอัตราการเกิดโรคไข้ละอองฟางโดยรวมในผู้ใหญ่ในจีนจะอยู่ที่ประมาณ 18% แต่ในเมืองหยูหลิน มีผู้ป่วยโรคไข้ละอองฟางถึง 27% ส่วนในมองโกเลียในอัตรานี้อยู่ที่ 32%

เหอ หลางชง ศาสตราจารย์เภสัชศาสตร์ประจำมหาวิทยาลัยซีอานเจียวทง ซึ่งเกิดที่เมืองหยูหลิน ทำงานร่วมกับสถาบันวิจัยในท้องถิ่น ในการติดตามสารก่อภูมิแพ้ระยะยาว โดยนักวิจัยได้พัฒนาเครื่องวิเคราะห์ก๊าซสารก่อภูมิแพ้และทำการคัดกรองตัวอย่างพืชอย่างเป็นระบบ และสามารถระบุองค์ประกอบที่ระเหยได้ 5 ชนิด 

นอกจากนี้ พวกเขายังค้นพบว่าองค์ประกอบเหล่านี้สามารถกระตุ้นเซลล์มาสต์ได้อย่างมีนัยสำคัญผ่านตัวรับที่เรียกว่า MrgX2 ซึ่งนำไปสู่ปฏิกิริยาภูมิแพ้ โดยทั่วไปแล้วเซลล์มาสต์จะช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันตามปกติ

จากการวัดการเปลี่ยนแปลงของปริมาณสารระเหยเหล่านี้ในตัวอย่างพืชที่เก็บในแต่ละเดือน พบว่าปริมาณสารระเหยทั้งหมดเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปเมื่อพืชเจริญเติบโต โดยเพิ่มขึ้นอย่างมากในเดือนส.ค.-ก.ย. เมื่อเทียบกับเดือนอื่น ๆ รูปแบบนี้สอดคล้องกับช่วงเริ่มต้นฤดูไข้ละอองฟางในหยูหลิน

เมื่อตรวจพบสารก่อภูมิแพ้แล้ว ก็สามารถติดตามตรวจสอบและให้คำแนะนำประชาชนเกี่ยวกับมาตรการป้องกันที่เหมาะสมได้ และสามารถพัฒนายาแก้แพ้ที่ออกฤทธิ์เฉพาะกับสารก่อภูมิแพ้ชนิดนี้ได้โดยอิงจากผลการวิจัยดังกล่าว

มณฑลส่านซีไม่ใช่มณฑลเดียวที่ประชาชนได้รับผลกระทบจากโรคนี้ ชาวเมืองหลานโจว มณฑลกานซู่ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว South China Morning Post ว่าเขาป่วยเป็นไข้ละอองฟางมานานกว่า 10 ปี อาการของเขาเริ่มตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงของทุกปี โดยมีอาการจามอย่างรุนแรง น้ำตาไหล และใบหน้าบวม

เจ้าหน้าที่สำนักงานป่าไม้และทุ่งหญ้าจากเมืองหยูหลิน ยอมรับในการสัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เมื่อปี 2020 ว่าปัญหาสาธารณสุขที่เกิดจากการปลูกต้นเสจทรายได้สอน “บทเรียนอันล้ำค่า” แก่เจ้าหน้าที่

“สำหรับโครงการควบคุมพื้นที่ไม่ให้กลายเป็นทะเลทรายในอนาคต เราได้พิจารณาถึงความหลากหลายของพืชและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อชีวิตของผู้อยู่อาศัยอย่างถี่ถ้วนแล้ว” เขากล่าว

ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมกล่าวว่า ในสมัยที่เริ่มโครงงานกำแพงเขียวขนาดใหญ่ จีนยังไม่มีทางเลือกที่ดีกว่าการปลูกต้นพืชในสกุลโกฐจุฬาลัมพา ที่สามารถทนอากาศร้อนจัดในฤดูร้อน หนาวจัดในฤดูหนาว และความแห้งแล้งได้ รวมถึงพืชอย่างป็อปลาร์ วิลโลว์ และวอร์มวูด ที่ตัวเลือกที่ดีเพราะทนทานและขยายพันธุ์ได้ง่ายกว่า

เป้าหมายของจีนคือ “การทำให้เป็นสีเขียวก่อน แล้วค่อยพิจารณาเรื่องอื่น ๆ” กู่ เหลย รองศาสตราจารย์ด้านพฤกษศาสตร์ มหาวิทยาลัยแคปิตอลนอร์มอล กล่าวกับสำนักข่าวท้องถิ่น

แต่ในตอนนี้เมื่อเกิดผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนมากขึ้น เป็นแรงกระตุ้นให้บางเมืองเปลี่ยนพืชที่ปลูกในโครงการกำแพงเขียวขนาดใหญ่ เมืองหยูหลินได้ใช้พืชชนิดอื่น เช่น ต้นสน ในเขตที่อยู่อาศัย ส่วนกรุงปักกิ่งหันมาปลูกต้นแปะก๊วย พลัม และต้นป็อปลาร์สายพันธุ์ใหม่ที่ไม่มีช่อดอก แต่กระบวนการนี้ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้นทุนสูง 

ในโครงการปลูกป่า 5 ปีที่ผ่านมา ปักกิ่งใช้งบประมาณ 830 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 62,000 ดอลลาร์ ต่อ 6.25 ไร่ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพืชสกุลโกฐจุฬาลัมพายังคงมีอยู่ในพื้นที่ชนบท

“ละอองเรณูสามารถแพร่กระจายไปได้ไกลหลายสิบหลายร้อยกิโลเมตรด้วยลมกระโชกแรงเพียงนิดเดียวถ้าเรากำจัดละอองเรณูที่อยู่ในย่านเมืองออกไป ปัญหาจะหมดไปจริงหรือ?” หยิน เจีย แพทย์ประจำโรงพยาบาลวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งยูเนียน กล่าวกับสื่อจีน 

ดังนั้น เพื่อรับมือกับละอองเรณูที่ก่อความเดือดร้อนในเมืองใหญ่เป็นเวลาหลายสัปดาห์ทุกฤดูใบไม้ผลิ เจ้าหน้าที่จึงฉีดน้ำล้างทางเท้าในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น และฉีดฮอร์โมนพืชลงบนต้นเพศเมียเพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของดอกตูม นอกจากนี้ ปักกิ่งยังออกประกาศเตือนภัยเพื่อให้ผู้ป่วยโรคไข้ละอองฟางทราบว่าละอองเรณูจะคงอยู่ได้นานเท่าใด และระดับละอองเรณูจะสูงเป็นพิเศษในช่วงเวลาใดของวัน


ที่มา: BloombergSouth China Morning Post