CFNT เปิดตัว 'Thailand Climate Finance Tracker' ฐานข้อมูลพลิกโฉมภูมิทัศน์การเงินรับมือโลกรวน

เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน (Climate Finance Network Thailand: CFNT) สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้ประเทศไทย ด้วยการเปิดตัว "Thailand Climate Finance Tracker" ฐานข้อมูลและเครื่องมือติดตามกระแสเงินทุนด้านสภาพภูมิอากาศครั้งแรกของประเทศ
KEY
POINTS
- เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน (CFNT) เปิดตัว "Thailand Climate Finance Tracker" ซึ่งเป็นฐานข้อมูลแรกของไทยที่ติดตามกระแสเงินทุนเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างครบวงจร
- ข้อมูลเผยว่าในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ไทยมีการลงทุนเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกกว่า 1.7 ล้านล้านบาท โดยส่วนใหญ่มาจากภาคเอกชน และมุ่งเน้นไปที่ภาคพลังงานและภาคการขนส่ง
- การลงทุนเพื่อการปรับตัวต่อภาวะโลกรวนยังอยู่ในระดับที่น้อยกว่ามาก โดยมีภาครัฐเป็นผู้ลงทุนหลัก และเงินทุนส่วนใหญ่ถูกใช้ในโครงสร้างพื้นฐานด้านการจัดการน้ำ
- เครื่องมือนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความชัดเจนเกี่ยวกับภูมิทัศน์การเงินเพื่อรับมือโลกรวน ชี้ให้เห็นช่องว่างด้านเงินทุน และกระตุ้นความร่วมมือเพื่อบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศของประเทศ
CFNT ในฐานะองค์กรวิจัยและกลุ่มเครือข่ายที่มุ่งสนับสนุนการเงินที่ยั่งยืน ได้พัฒนาเครื่องมือ "Thailand Climate Finance Tracker" ขึ้นเพื่อสะท้อนภาพกระแสเงินทุนที่ใช้รับมือกับภาวะโลกรวนในประเทศไทย โดยทีมวิจัยจะติดตามและปรับปรุงข้อมูลเป็นประจำทุกปี เพื่อให้ข้อมูลครบถ้วนและเป็นปัจจุบันที่สุด
สฤณี อาชวานันทกุล ผู้อำนวยการเครือข่ายการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน (CFNT) กล่าวว่า "CFNT หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเครื่องมือ Climate Finance Tracker จะช่วยสะท้อนภาพกระแสเงินที่หมุนเวียนเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวนในประเทศไทย และกระตุ้นให้เกิดความร่วมมืออันแข็งแกร่งในการลดก๊าซเรือนกระจกและปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ"
ธนิดา ลอเสรีวานิช หัวหน้าทีมวิจัยของ CFNT เสริมว่า จนถึงวันนี้ ประเทศไทยยังไม่มีภาพที่ครบถ้วนสมบูรณ์ว่าเงินที่ใช้เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีมูลค่าเท่าไร มาจากไหน และลงทุนไปกับอะไรบ้าง โจทย์นี้คือจุดเริ่มต้นของโครงการ Thailand Climate Finance Tracker 2025 ที่จะเชื่อมข้อมูลทั้งหมดเข้าด้วยกัน และฉายให้เห็นภูมิทัศน์ทางการเงินเพื่อรับมือภาวะโลกรวน ครั้งแรกของประเทศไทย"
เจาะลึกการลงทุน 1.7 ล้านล้านบาท เพื่อไทยไร้คาร์บอน!
จากการนำเสนอข้อมูลเชิงลึก พบว่าในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยทุ่มเงินกว่า 1.7 ล้านล้านบาท เพื่อใช้ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยกว่า 2 ใน 3 ของเงินทุนนี้มาจากภาคเอกชน สะท้อนความตื่นตัวและศักยภาพของภาคเอกชนในเศรษฐกิจสีเขียว ขณะที่งบประมาณจากภาครัฐและรัฐวิสาหกิจอยู่ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน
ภาคพลังงานและการขนส่งได้รับเงินทุนสนับสนุนสูงสุด โดยภาคพลังงานได้รับเม็ดเงินกว่า 779,130 ล้านบาท (45.9% ของเงินลงทุนทั้งหมด) เน้นโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาและการติดตั้งโซลาร์เซลล์ ส่วนภาคขนส่งได้รับกว่า 315,122 ล้านบาท (18.6% ของเงินทุนทั้งหมด) สำหรับโครงการรถขนส่งมวลชนไฟฟ้า การขยายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า และการเพิ่มส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า
อย่างไรก็ตาม ชี้ให้เห็นถึงโอกาสที่ประเทศไทยยังไม่ได้ตักตวง คือการรับเงินสนับสนุนจากธนาคารและองค์กรพัฒนาระหว่างประเทศ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนผ่านภาคพลังงานในประเทศเพื่อนบ้าน
ลงทุนปรับตัวยังน้อย ความท้าทายที่ต้องเร่งแก้ไข
เมื่อเทียบกับเงินทุนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การลงทุนเพื่อปรับตัวต่อภาวะโลกรวน (Adaptation Finance) ยังอยู่ในสัดส่วนที่น้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดการณ์ว่าอยู่ที่ประมาณ 148,096 ล้านบาท ในช่วงปี พ.ศ. 2563-2567 โดยมีภาครัฐเป็นผู้ลงทุนหลัก และเงินกว่า 95% ไหลไปยังโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการชลประทานและการจัดการน้ำ ซึ่งสะท้อนว่าประเทศไทยอาจยังไม่ได้นำแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติไปปฏิบัติอย่างจริงจัง
พลังความร่วมมือ กุญแจสู่ความสำเร็จ
ภายในงานยังมีการจัดเวทีเสวนาในหัวข้อ การเงินเพื่อบรรเทาโลกรวน ทบทวนและมองไปข้างหน้า" โดยมีผู้แทนจากธนาคารโลก, ธนาคารแห่งประเทศไทย, ธนาคารไทยพาณิชย์, ธนาคารกสิกรไทย ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่า ข้อมูล นวัตกรรม และความร่วมมือ เป็น 3 ปัจจัยหลักที่จะขับเคลื่อนระบบการเงินไทยสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
ก้าวต่อไป ข้อมูลที่แม่นยำและการลงทุนที่ตอบโจทย์
นายสุธีร์ ชามา ผู้ประสานงานระดับภูมิภาคด้านการเงินและการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ กล่าวว่า ข้อมูลคือสิ่งสำคัญที่จะช่วยปิดช่องว่างและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการรับมือความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ งานวิจัย "Thailand Climate Finance Landscape" ของ CFNT จะช่วยให้เห็นช่องว่างและความต้องการเม็ดเงินสำหรับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวต่อภาวะโลกรวน ทำให้การระดมทุนทั้งจากภาครัฐและเอกชนมีความชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ภาครัฐไทยมีบทบาทในการพัฒนาระบบนิเวศเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ด้วยกลไกและมาตรการที่หลากหลาย ทั้งกฎหมายและการเงิน เช่น ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว







