กทม. มุ่งสู่ 'มหานครน่าอยู่สำหรับทุกคน' รับมือวิกฤติสิ่งแวดล้อม พร้อมเปิดประตูลงทุนยั่งยืน

กทม. มุ่งสู่ 'มหานครน่าอยู่สำหรับทุกคน' รับมือวิกฤติสิ่งแวดล้อม พร้อมเปิดประตูลงทุนยั่งยืน

กรุงเทพมหานครเร่งเครื่องยกระดับคุณภาพชีวิตพลเมือง ชูวิสัยทัศน์ "เมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน" ด้วยยุทธศาสตร์ 9 ด้าน 9B มุ่งแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมเร่งด่วน ทั้งคลื่นความร้อนและ PM 2.5 พร้อมเปิดกว้างความร่วมมือภาคเอกชนผ่านโครงการ PPP และมาตรการกระตุ้นภาษี

KEY

POINTS

  • กทม. ตั้งเป้าหมายยกระดับกรุงเทพฯ จากเมืองท่องเที่ยวสู่ "เมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน" โดยใช้ยุทธศาสตร์ 9 ด้าน (9B) ที่เน้นการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
  • เผชิญความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมรุนแรง ทั้งปัญหาคลื่นความร้อนและฝุ่น PM 2.5 โดยมีมาตรการรับมือ เช่น การเพิ่มพื้นที่สีเขียว และการจัดทำ "ห้องปลอดฝุ่น" ในโรงเรียน
  • เปิดรับการลงทุนที่ยั่งยืนผ่านความร่วมมือกับภาคเอกชน (PPP) ในโครงการขนาดใหญ่ เช่น โรงเผาขยะ และการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อสร้าง "สวน 15 นาที"
  • ร่วมมือกับหน่วยงานระหว่างประเทศวางแผนแม่บทด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยตั้งเป้าหมายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Net Zero) ภายในปี 2050

กรุงเทพมหานคร (กทม.) หนึ่งในศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่สำคัญของโลก กำลังเดินหน้าอย่างจริงจังเพื่อพลิกโฉมสู่การเป็น "เมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน" ในทิศทางการพัฒนาเมือง ความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม และโอกาสการลงทุนในอนาคต

วิสัยทัศน์ที่ชัดเจน จากเมืองท่องเที่ยวสู่เมืองน่าอยู่

วิฑูรย์ อภิสิทธิ์ภูวกุล ผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์และประเมินผล กทม. และ วรนุช สวยค้าข้าว รองผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม กทม. กล่าวในงาน CLIMATE FINANCE TRACKER Uncovering Thailand's Flows ว่า กทม. ตระหนักดีว่าการเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลกเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน จึงตั้งเป้าหมายที่จะขยับอันดับ "เมืองน่าอยู่" จากเดิมอันดับ 98 ให้สูงขึ้น โดยผสานมิติสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนเข้ากับการพัฒนาเมืองอย่างครบวงจร อ้างอิงกรอบแนวคิดสากลอย่าง SDG, MCR, Healthy City Index และ Urban Monitoring Framework (UMF) เพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายและเป้าหมาย

ยุทธศาสตร์ 9B มิติสิ่งแวดล้อมคือหัวใจสำคัญ

ภายใต้ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนเมือง 9 ด้าน หรือ 9B "สิ่งแวดล้อมดี" ถูกจัดเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ กทม. ให้ความใส่ใจ โดยมีการกำหนดเป้าหมายเชิงปริมาณที่ชัดเจน เช่น การเพิ่มพื้นที่สีเขียวและการปลูกต้นไม้ให้ได้ตามมาตรฐานสากล 9 ตารางเมตรต่อคนตามหลัก WHO นอกจากนี้ กทม. ยังได้พัฒนาระบบ Open Policy (policy.go.th) เพื่อเปิดเผยข้อมูลโครงการต่างๆ ภายใต้ OKR เกือบ 400 รายการ และโครงการย่อยกว่า 7,000 โครงการ เพื่อความโปร่งใสและตรวจสอบได้ของงบประมาณและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

เผชิญหน้าความท้าทาย คลื่นความร้อนและ PM 2.5

กรุงเทพฯ กำลังเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น คลื่นความร้อน ที่คาดการณ์ว่าจำนวนวันที่อุณหภูมิเกิน 35 องศา จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 153 วันต่อปีภายในปี 2643 หากไม่มีมาตรการรับมือ และปัญหา PM 2.5 ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของคนกรุงเทพฯ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุและผู้ที่อาศัยในชุมชนแออัด กทม. จึงมีนโยบายจัดหา "ห้องหลบร้อน" และ "ห้องปลอดฝุ่น" ในโรงเรียน เพื่อบรรเทาผลกระทบแก่กลุ่มเหล่านี้

แม้ว่างบประมาณด้านสิ่งแวดล้อมของ กทม. ในปี 2569 จะมีสัดส่วนประมาณ 22% ของงบประมาณรวม 92,000 ล้านบาท (19,000 ล้านบาท) โดยเน้นไปที่การลดผลกระทบ (66%) การปรับตัว (32%) และการป้องกัน (2%) แต่การส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งมวลชนยังคงเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากปัจจุบันระบบรางมีสัดส่วนการใช้งานเพียง 6% เทียบกับรถยนต์ส่วนบุคคลที่สูงถึง 36−37%

นวัตกรรมและการร่วมมือ กุญแจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

กทม. ได้นำแนวคิด Nature-Based Solutions (NBS) มาประยุกต์ใช้ในโครงการสำคัญ เช่น สวนป่านิเวศอ่อนนุช และสวนป่าชุ่มน้ำบางกอก ที่เปลี่ยนพื้นที่รกร้างให้เป็นแหล่งธรรมชาติและพื้นที่รับน้ำ นอกจากนี้ ยังมีมาตรการกระตุ้นภาคเอกชนด้วยนโยบาย "สวน 15 นาที" โดยยกเว้นภาษีที่ดินให้กับเจ้าของที่ดินที่ยินยอมให้ กทม. ใช้พื้นที่เป็นสวนสาธารณะอย่างน้อย 7 ปี ซึ่งได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนกว่า 30 แปลง คิดเป็นเกือบ 40% ของพื้นที่ที่ได้มา

สำหรับการลงทุนขนาดใหญ่ กทม. ใช้รูปแบบ Public-Private Partnership (PPP) ในโครงการสำคัญอย่างเตาเผาขยะที่เขตประเวศและหนองแขม (1,000 ตัน/วัน) ซึ่งเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนก่อสร้างและบริหารจัดการนาน 20 ปี ก่อนโอนกรรมสิทธิ์ให้ กทม. แม้โครงการเหล่านี้จะใช้เวลานานในการดำเนินงาน แต่ก็สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ กทม. ในการหาทางออกที่ยั่งยืน

โอกาสการลงทุนและอนาคต Net Zero

กทม. ได้รับความร่วมมือจาก JICA และเมืองโยโกฮาม่าในการจัดทำแผนแม่บทการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และคำแนะนำจาก IFC (International Finance Corporation) ในการวางแผนทางการเงินเพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2593 กทม. ตระหนักดีว่าการจะขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่เหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยกลไกทางการเงินที่หลากหลาย เช่น PPP หรือ On-financing เนื่องจากงบประมาณของ กทM. เองคิดเป็นสัดส่วนเพียง 1% ของการลงทุนที่จำเป็นทั้งหมด

สรุปได้ว่า การพัฒนากรุงเทพมหานครให้เป็น "เมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน" เป็นแผนงานที่ต้องบูรณาการทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ด้วยการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน การกำหนดเป้าหมายที่วัดผลได้ และที่สำคัญที่สุดคือการสร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อรับมือกับความท้าทายและสร้างเมืองที่ยั่งยืนในอนาคต