สำรวจทางรอดท่องเที่ยวไทย เมื่อโลกร้อน และฝุ่นคลุมฟ้าไทย

ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงถึง 5.62% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา มาจากสาเหตุหลายประการ
ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยยังถูกซ้ำเติมจากแรงกดดันใหม่ทั้งมลภาวะทางอากาศ และความผันผวนของภูมิอากาศ ซึ่งปัจจัยทั้งสองนี้เป็นอุปสรรคที่สำคัญต่อการฟื้นตัวและการเติบโตอย่างยั่งยืนของภาคท่องเที่ยวไทย
เมื่อเจอกับปัญหา ฝุ่น PM 2.5 และภัยธรรมชาติ ที่ถี่ขึ้นจากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน การท่องเที่ยวที่พึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติเป็นหลักกำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ฝุ่นพิษบั่นทอนความน่าอยู่และความน่าท่องเที่ยว
เมืองสำคัญอย่างเชียงใหม่ และกรุงเทพฯ ต่างได้รับผลกระทบจากฝุ่นละอองขนาดเล็กอย่างต่อเนื่อง
การวิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลังจากปี 2559-2567 พบว่าในหลายปีค่าฝุ่น PM2.5 เฉลี่ยในเชียงใหม่สูงเกินมาตรฐานโลกหลายครั้ง ทำให้นักท่องเที่ยวชาวยุโรปและอเมริกา ซึ่งให้ความสำคัญกับสุขภาพ เลือกที่จะยกเลิกแผนเดินทางหรือเปลี่ยนปลายทางในช่วงเวลาดังกล่าว
รายงานล่าสุดจากหน่วยงานวิชาการระบุว่า ต้นตอของฝุ่นควันในภาคเหนือเกิดจากการเผาป่าในพื้นที่อนุรักษ์ และการเผาเศษวัสดุเกษตรกรรมทั้งในประเทศไทย และประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมาที่มีการขยายพื้นที่ปลูกข้าวโพด และลาวที่มีการเผาป่าเพื่อปลูกมันสำปะหลังเพื่อส่งออก
ขณะเดียวกัน เมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ เผชิญกับฝุ่นจากไอเสียของการจราจรและการก่อสร้าง รวมถึงผลกระทบจากปรากฏการณ์อุณหภูมิผกผันที่ทำให้อากาศถ่ายเทไม่สะดวก ผลของการเผาไหม้นี้ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกชนิดต่างๆ กว่า 11.9 พันล้านตันคาร์บอนต่อปี
ในระยะสั้นผลกระทบจากฝุ่นชัดเจน ทั้งด้านสุขภาพ และในเชิงเศรษฐกิจ ที่ทำให้แหล่งท่องเที่ยวขาดรายได้ ซ้ำเติมภาคบริการในท้องถิ่นที่พึ่งพาการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม ร้านอาหาร และบริษัททัวร์
ขณะที่ในระยะยาวผลกระทบจากก๊าซเรือนกระจกชนิดต่าง ๆ จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศที่เราไม่อาจคาดการณ์ได้แน่นอน
เมื่อภูมิอากาศไม่แน่นอน รายได้ท่องเที่ยวก็ไม่นิ่ง
การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศไม่เพียงทำให้ฤดูกาลแปรปรวน แต่ยังนำมาซึ่งภัยพิบัติบ่อยครั้งขึ้น เช่น น้ำท่วมเฉียบพลันในภูเก็ตและพัทยา คลื่นลมแรงในทะเลอันดามัน
ภาวะฝนแล้งที่ทำให้เมืองท่องเที่ยวอย่างกระบี่ และสมุยเผชิญปัญหาขาดแคลนน้ำจืดให้บริการนักท่องเที่ยว รวมไปถึงจำนวนวันที่อากาศหนาวลดลงในฤดูท่องเที่ยวปลายปี
งานวิจัยของ Roson และ Sartori (2016) ชี้ว่า หากอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้น 2 องศาเซลเซียส ประเทศไทยอาจสูญเสียรายได้จากการท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 62,000 ล้านบาทต่อปี
ขณะที่รายงานอื่น ๆ ยังชี้ถึงผลกระทบด้านความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวต่อการเปลี่ยนแปลงของทรัพยากร เช่น แนวปะการังที่ฟอกขาว หรือชายหาดที่ถูกกัดเซาะ ซึ่งล้วนลดแรงดึงดูดและระยะเวลาการพักเฉลี่ยในไทย
ตัวอย่างที่ชัดเจน คือการกัดเซาะชายฝั่งหาดป่าตองและหาดหัวหิน หรือการฟอกขาวของปะการังที่หมู่เกาะสิมิลัน ซึ่งเป็นจุดขายทางธรรมชาติที่สำคัญ
หลายประเทศเดินหน้าปรับตัว ไทยยังเร่งไม่ทัน
ประเทศอย่างสหรัฐและจีน ได้แสดงให้เห็นถึงบทเรียนสำคัญในการลดมลพิษและปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศผ่านการใช้กฎหมายควบคุม การอุดหนุนเทคโนโลยีสะอาด และส่งเสริมระบบขนส่งสาธารณะที่ปล่อยมลพิษต่ำ
จีนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ลดค่าเฉลี่ย PM2.5 ลงได้มากกว่า 35% จากมาตรการลดการใช้ถ่านหิน ปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรม และส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า ขณะที่รัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐใช้ระบบการขออนุญาตให้เกษตรกรเผาเศษวัสดุได้ภายใต้การควบคุมของนักเทคนิค ที่จะลดผลกระทบต่อเมืองให้ต่ำที่สุด
โอกาสอยู่ในมือ หากรู้จักตอบโจทย์นักท่องเที่ยวยุคใหม่
แม้เผชิญความท้าทายหลายด้าน แต่ตลาดนักท่องเที่ยวโลกกำลังให้ความสำคัญกับ “คุณภาพ” มากกว่า “ปริมาณ” โดยเฉพาะกลุ่มที่สนใจการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (Eco-Tourism) และการท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible Tourism) ซึ่งเป็นโอกาสที่ประเทศไทยสามารถต่อยอดได้
หลายโครงการของภาครัฐ เช่น การประกาศเขตอนุรักษ์แนวปะการัง การปิดอ่าวมาหยาเพื่อฟื้นฟูธรรมชาติ หรือการส่งเสริมโครงการ “หมู่บ้าน OTOP นวัตวิถี” ได้รับความสนใจและเป็นต้นแบบที่ดี หากมีการขยายผลต่อเนื่อง
นอกจากนี้ การตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) เช่น SDG 8, 12, 14 และ 15 สามารถเป็นกรอบแนวนโยบายที่เชื่อมโยงการเติบโตทางเศรษฐกิจเข้ากับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
โดยเฉพาะผ่านการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การพัฒนาแรงงานที่มีทักษะรับการเปลี่ยนแปลง และการลงทุนในระบบน้ำและพลังงานสะอาดในเมืองท่องเที่ยว
ทางรอดใหม่: รัฐต้องคิดไกล ธุรกิจต้องปรับไว
การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในภาคท่องเที่ยวต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วน รัฐบาลควรวางนโยบายระยะยาวที่ชัดเจน เช่น การพัฒนาแผนที่นำทางการลดคาร์บอนในภาคท่องเที่ยว
การพัฒนามาตรฐาน “Green Destinations” และกลไกการเงินที่ตอบสนองต่อการลงทุนเพื่อความยั่งยืน เช่น Green Bonds หรือระบบภาษีที่สะท้อนผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ภาคเอกชนเองก็ต้องไม่รอให้รัฐเริ่มก่อน แต่ควรเป็นผู้นำในการสร้างคุณค่าทางสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้พลังงานสะอาด การจัดการของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ การร่วมมือกับชุมชนท้องถิ่นในการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว
บทเรียนจากCOVID-19 ตอกย้ำว่าเศรษฐกิจที่พึ่งพิงภาคท่องเที่ยวต้องมีแผนรับมือความไม่แน่นอน ขณะเดียวกัน การไม่แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในวันนี้ จะทำให้ต้นทุนของการฟื้นตัวในอนาคตสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สายลมเปลี่ยนทิศ ใครตั้งใบเรือก่อนชนะ
อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยอยู่ในจุดเปลี่ยนที่ต้องเลือกระหว่างยึดติดกับโมเดลเดิมที่พึ่งพาจำนวนนักท่องเที่ยวสูง หรือปรับตัวสู่แนวทางที่ยั่งยืนและตอบสนองต่อบริบทโลกยุคใหม่
ปัญหาฝุ่นและการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศคือสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่ก็เป็นสัญญาณเตือนให้ไทยเร่งปรับทิศทางการพัฒนา หากทำได้อย่างมีวิสัยทัศน์และสร้างความร่วมมือทุกภาคส่วน อุตสาหกรรมนี้จะไม่เพียงรอดพ้นวิกฤติ แต่ยังสามารถเป็นต้นแบบของการเติบโตอย่างยั่งยืนในเวทีโลกได้อย่างสง่างาม.







