น้ำท่วมฉับพลัน โลกและไทยตกอยู่ในภาวะไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา

น้ำท่วมฉับพลัน โลกและไทยตกอยู่ในภาวะไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา

เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในรัฐเท็กซัสก่อนรุ่งอรุณของวันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม ฝนเทลงมาในช่วงเวลาอันสั้นก่อให้เกิดภาวะน้ำท่วมฉับพลันยังผลให้ชาวอเมริกันกว่า 130 คนเสียชีวิต 

ในขณะที่ชาวอเมริกันยังนอนพักผ่อน ก่อนลุกขึ้นมาทำกิจกรรมเฉลิมฉลองวันชาติตลอดวัน จบลงด้วยการจุดดอกไม้ไฟอันตื่นตาตื่นใจในตอนค่ำ

กล่าวคือ ฝนเทลงมาในช่วงเวลาอันสั้นก่อให้เกิดภาวะน้ำท่วมฉับพลันยังผลให้ชาวอเมริกันกว่า 130 คนเสียชีวิต 

ในจำนวนนี้ ไม่ต่ำกว่า 100 คนอยู่ในอำเภอเดียวกันรวมทั้งเด็กนักเรียนหญิงระดับชั้นประถมและครูที่พักอยู่ในค่ายฤดูร้อนอย่างน้อย 27 คน นอกจากนี้ยังมีผู้สูญหายอีกไม่ต่ำกว่า 160 คน

นอกเหนือจากฝนที่ตกลงมาแบบไม่ลืมหูตาแล้ว ปัจจัยที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งนี้มี 2 อย่างด้วยกัน นั่นคือ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่และการเข้าไปสร้างชุมชนบนพื้นที่ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะน้ำท่วมฉับพลัน ความเสี่ยงสูง

เป็นที่รับรู้กันมานานในบรรดาสมาชิกของชุมชน ซึ่งได้สร้างระบบเตือนภัยไว้บ้างแล้ว อย่างไรก็ดี เมื่อเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญได้เตือนรัฐบาลท้องถิ่นว่า ระบบนั้นไม่พอ จึงเสนอให้รัฐบาลสร้างระบบเตือนภัยให้สมบูรณ์ แต่รัฐบาลไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องสร้างอย่างเร่งด่วน

ในสหรัฐ ภาวะ “ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา” เช่นนี้มีให้เห็นเป็นประจำทั้งที่ประเทศมีทั้งความมั่งคั่งสูงและมีผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ อย่างล้นเหลือ

ด้านที่อาจมีส่วนทำให้เกิดโศกนาฏกรรมดังกล่าว ได้แก่ ความไม่เชื่ออย่างกว้างขวางเกี่ยวกับคำเตือนของนักวิทยาศาสตร์เรื่องภาวะโลกร้อน และความจำเป็นที่ชาวอเมริกันส่วนใหญ่จะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตน 

น้ำท่วมฉับพลัน โลกและไทยตกอยู่ในภาวะไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา

ยิ่งมาถึงยุคนี้ที่ตัวประธานาธิบดีทรัมป์เองไม่เห็นความสำคัญของปัญหา โอกาสเปลี่ยนพฤติกรรมยิ่งลดลงในด้านนี้ สิ่งที่เน้นกันมากคือการเปลี่ยนวิธีผลิตพลังงานที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก แต่ไม่พูดถึงการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นั่นคือ ชาวอเมริกันส่วนใหญ่บริโภคกันแบบไม่รู้จักพอ

แน่ละ ผู้ทำให้เกิดปัญหาในด้านนี้ที่จะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไม่จำกัดอยู่เฉพาะในสหรัฐเท่านั้น หากมีอยู่ทั่วโลก รวมทั้งในเมืองไทย

เมื่อพูดถึงเมืองไทย ในช่วงนี้มีคำเตือนของนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ รวมทั้งอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดร.ธาริษา วัฒนเกส เกี่ยวกับการเลือกประธานกรรมการและผู้ว่าการธนาคารคนใหม่ ซึ่งดูเหมือนว่าฝ่ายการเมืองกำลังพยายามอย่างเข้มข้นที่จะส่งคนของตนเข้าไปควบคุม 

ความสำคัญของความมีอิสระในการทำงานของธนาคารกลางเป็นที่ยอมรับกันมานานในแวดวงวิชาการ พร้อมมีตัวอย่างให้เห็นว่า หายนะจะตามมาถ้าการเมืองเข้าไปยุ่งเกี่ยว ความพยายามของฝ่ายการเมืองที่จะเข้าไปแทรกแซงการทำงานของ ธปท. ไม่ใช่ของใหม่ แต่ครั้งนี้มีความเข้มข้นขึ้นมาก 

คงเพราะ ธปท. ไม่ยอมลดอัตราดอกเบี้ยตามที่รัฐบาลต้องการและคัดค้านมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท ซึ่งจะสร้างปัญหาสาหัสด้านการสร้างภาระหนี้สินให้แก่รัฐบาลจากการขาดวินัยทางการเงิน

น้ำท่วมฉับพลัน โลกและไทยตกอยู่ในภาวะไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา

การแจกเงินดังกล่าวเป็นหนึ่งในมาตรการประชานิยม ที่ผมมีส่วนชี้ให้คนไทยตระหนักถึงภัยร้ายแรงของมัน เริ่มด้วยการเขียนหนังสือชื่อ “ประชานิยม: หายนะจากอาร์เจนตินาถึงไทย” หลังจากคนกลุ่มเดียวกับรัฐบาลปัจจุบันเข้าบริหารประเทศเมื่อกลางปี 2544 รัฐบาลนั้นนำแนวคิดประชานิยมแบบเลวร้ายมาใช้เป็นครั้งแรก 

หนังสือเล่มนั้นวิวัฒน์มาเป็นเรื่อง “ประชานิยม: ทางสู่ความหายนะ” ซึ่งดาวน์โหลดได้ฟรีที่เว็บไซต์ของมูลนิธินักอ่านบ้านนาและฟังเสียงอ่านของคุณสมลักษณ์ หุตานุวัตรได้ใน YouTube

เมื่อพูดถึงคนกลุ่มที่คุมรัฐบาลปัจจุบัน ไม่ใช่ผมเท่านั้นที่เตือนคนไทยว่าอย่าไว้วางใจโดยออกมาชุมนุมขับไล่อย่างต่อเนื่อง ในอดีตผู้นำการชุมนุมเป็นกลุ่มใหญ่

ได้แก่ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทยและคณะกรรมการประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตย ที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ล่าสุดกลุ่มรวมพลังแผ่นดินเพิ่งชุมนุมใหญ่เพื่อขับไล่รัฐบาลเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน

นักการเมืองกลุ่มที่คุมรัฐบาลปัจจุบันมีลักษณะต้องห้ามหลายอย่าง รวมทั้งการใช้นโยบายประชานิยมแบบเลวร้ายอย่างเข้มข้น  แต่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ยอมฟังคำเตือน คงจะรอต่อไปให้เห็นความหายนะของประเทศเสียก่อน.