เส้นทาง 45 ปี ‘กะตะกรุ๊ป’ จากบังกะโลไม้ไผ่ สู่ ‘โรงแรมยั่งยืน’

เปิดเส้นทาง 45 ปีของ ‘กะตะกรุ๊ป‘ เริ่มจากบังกะโลไม้ไผ่ 9 หลัง สู่ ’โรงแรม‘ ระดับท็อป3 ภาคใต้อันดามัน ที่มุ่งสู่ ’ความยั่งยืน เพราะหวังสร้างโลกที่ยั่งยืนและดีกว่าเดิม
KEY
POINTS
- จุดเริ่มต้นของ ‘กะตะกรุ๊ป’ มาจากการสร้างบังกะโลไม้ไผ่ 9 หลังบนหาดกะตะโรงแรมในเครือ 9 แห่ง กว่า 2,200 ห้องพักใน 4 จังหวัดภาคใต้
- ที่มีวันนี้ได้ ‘กะตะกรุ๊ป’ เพราะมี (SCB) เป็นพันธมิตรทางการเงินมาเกือบ 40 ปีและเน้นทำธุรกิจอย่างยั่งยืนจนได้รับรางวัล Green Hotel ระดับ Gold Class
- เป้าหมายในอนาคตคือการขยายธุรกิจสู่ระดับสากล และผลักดันให้ภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ยั่งยืน
นี่คือคำบอกเล่าอย่างภาคภูมิใจของ “ประมุขพิสิฐ อัจฉริยะฉาย” ประธานกรรมการบริหาร กะตะกรุ๊ป รีสอร์ท ประเทศไทย และบียอนด์ โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท ที่เล่าให้สื่อมวลชนฟังบนเวที SCB LIVE SUSTAINABLY IN PHUKET Our Commitment to Sustainable Hotels ร่วมกับธนาคารไทยพาณิชย์ และ “หยี่เต้ง ฮอสพิทาลิตี้ ในการช่วยเปลี่ยนผ่านโรงแรมภูเก็ตไปสู่ที่หมายท่องเที่ยวยั่งยืนระดับสากล
“ประมุข” เล่าให้ฟังถึง จุดเริ่มต้นของ “กะตะกรุ๊ป” ก่อนที่จะเป็นโรงแรมแห่งความยั่งยืนเช่นวันนี้ ถือว่าไม่ง่าย และน่าสนใจอย่างมาก จากเรื่องเล่าของ “ประมุข”
- จุดเริ่มต้นจากศูนย์ สู่เครือโรงแรม 9 แห่ง
ช่วงแรกของธุรกิจเป็นเพียงกระต๊อบไม้ไผ่บนพื้นที่เช่าริมหาดกะตะ สิ่งที่โดดเด่น และเรียกว่าเป็นเสน่ห์ของ “กะตะกรุ๊ป” เฉกเช่นทุกวันนี้คือ การได้รับการร่วมไม้ร่วมมือจาก “ชาวบ้าน”หรือชุมชน แรงจากคนในชุมชนมาช่วยกันก่อสร้าง ออกแบบและสร้างด้วยแนวคิดที่ทำเองทุกอย่าง ความสัมพันธ์กับคนในพื้นที่ จึงแน่นแฟ้นตั้งแต่วันแรกที่เริ่มธุรกิจ
และจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ คุณเล็ก-เพิ่มพูน ไกรฤกษ์ ผู้บริหารธนาคารไทยพาณิชย์ มาเยี่ยมที่พักในช่วงที่ธุรกิจยังเป็นบังกะโล และได้ชักชวนให้ “กะตะกรุ๊ป” เป็นลูกค้าของธนาคารไทยพาณิชย์
แม้ตอนนั้นประมุขยังตอบปฏิเสธเพราะไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดิน แต่ได้วางเงื่อนไขว่า “ถ้าวันไหนผมซื้อที่ดินได้ ช่วยสนับสนุนผมด้วย” และนี่คือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ยาวนานเกือบ 40 ปี
“ประมาณ 30 ปีก่อน ผมตัดสินใจซื้อที่ดินที่นี่ ราคาสูงถึง 68 ล้านบาท ซึ่งถือว่าแพงมากในสมัยนั้น แต่ไทยพาณิชย์กล้าสนับสนุนเต็มที่ หลังได้ที่ดิน เรารื้อทุกอย่าง สร้างอาคารโรงแรมใหม่ ใช้เงินลงทุนหลายร้อยล้าน และจากวันนั้นจนถึงวันนี้ เรามีโรงแรม 9 แห่ง”
- แตกต่าง แต่ครอบคลุมลูกค้าหลายกลุ่ม
ในมุมของ “ประมุข” เขามองว่า สำหรับตลาดภูเก็ตถือเป็นตลาดการท่องเที่ยวที่มีการแข่งขันสูง การยืนอยู่ได้ ต้องคิดไปข้างหน้าเสมอ ดังนั้นโรงแรมในเครือกะตะกรุ๊ปจึงมีคอนเซ็ปต์แตกต่างกันเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าอย่างหลากหลาย
เช่นโรงแรมที่เขาหลักและกะรนเป็น Adults Only ไม่รับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ขณะเดียวกันเราก็มีโรงแรมที่เน้นครอบครัวอย่าง ภูเก็ต ออร์คิด รีสอร์ท และประมุขโก้ ซึ่งมีสวนน้ำขนาดใหญ่กว่า 500 ห้อง ทำขึ้นเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่มาเป็นครอบครัวใหญ่ โดยเฉพาะตลาดสแกนดิเนเวียและจีนที่มาเที่ยวกันทั้งครอบครัว
นอกจากนี้ยังมีโรงแรมสำหรับหนุ่มสาวและนักท่องเที่ยวที่ต้องการความคุ้มค่า เช่น ประมุขโก้ ที่ราคาเฉลี่ยเพียง 3,000 บาทต่อคืน ลูกค้าสามารถใช้สวนน้ำได้โดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม ทำให้โรงแรมสามารถแข่งขันในตลาดได้แม้ในช่วงเศรษฐกิจผันผวน
พลังงานสะอาดลดต้นทุนมหาศาล
ในด้านการขับเคลื่อนธุรกิจของ
“ประมุข” เขาเน้นการดำเนินธุรกิจผ่านความยั่งยืนเป็นหลัก และมองว่าความยั่งยืนไม่ใช่แค่แนวคิดใหม่ แต่เป็นสิ่งที่ทำมาตั้งแต่ต้น ทั้งที่ที่ Beyond Kata ที่มีการออกแบบโถงกลางให้เป็น Atrium ขนาดใหญ่โดยไม่ติดแอร์ ทำให้ประหยัดค่าไฟได้เดือนละ 145,000 บาท และตอนนี้มีการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาโรงแรม ลดค่าไฟเพิ่มอีกเดือนละกว่า 400,000 บาท
นอกจากพลังงานสะอาด ยังลงทุนระบบบำบัดน้ำเสียในโรงแรมเพื่อป้องกันการปล่อยน้ำลงทะเล นี่คือตัวอย่างการทำธุรกิจควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งเขาเชื่อว่า มันเป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ทุกคน ที่ต้องตระหนักมากขึ้นในการดำเนินธุรกิจบนความยั่งยืน
รวมไปถึงการจัดการขยะและมลพิษอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น มลพิษทางอากาศ เสียง และน้ำเสีย และอนุรักษ์พืชพรรณ สัตว์ป่า และระบบนิเวศท้องถิ่น รวมถึงวิถีชีวิตของชุมชน
และยังเป็นหลักสำคัญ ในการทำหน้าที่ “สื่อสาร” และสร้างความร่วมมือกับชุมชนและองค์กรต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนมากขึ้น
ไม่แปลกที่วันนี้ รีสอร์ทในเครือได้รับรางวัล “Green Hotel” ระดับ Gold Class จากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เหล่านี้ยิ่งเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง
- SCB คู่คิดตลอด 40 ปี แค่สบตาก็รู้ใจ
ตลอดเส้นทางกว่า 45 ปี กะตะกรุ๊ปต้องเผชิญหลายวิกฤติ ตั้งแต่ Y2K สึนามิ จนถึงโควิด-19 ซึ่งครั้งหลังถือว่าหนักที่สุด แต่สึนามิไม่ห่วงมาก เพราะเขาใช้เวลาเพียง 3 เดือนเท่านั้นในการพลิกฟื้นและทำให้ลูกค้า นักท่องเที่ยวกลับมาได้
โดยการใช้กลยุทธ์ลดราคาเต็มที่เพื่อดึงลูกค้า ส่วนโควิดยาวนานกว่า 2 ปี เป็นบททดสอบที่โหดที่สุด แต่ “ธุรกิจก็รอดมาได้”เพราะมีพันธมิตรและการช่วยเหลือที่ดีจากหลายฝ่าย
การดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้นั้น หนึ่งในนั้นที่ต้องมีคือ “พันธมิตรที่ดี” และ “ธนาคารไทยพาณิชย์” ก็คือพันธมิตรที่ดีมาต่อเนื่องยาวนานถึง 40 ปี
ทำให้ความสัมพันธ์กับไทยพาณิชย์วันนี้ เขาเปรียบเหมือน”หมอกับคนไข้” แค่เห็นหน้าก็รู้ว่าเราเป็นอะไร ต้องรักษายังไง ทุกครั้งที่เรามีปัญหา ธนาคารช่วยแก้ไขทันที จนทำให้เราก้าวต่อได้อย่างมั่นคง
“ล่าสุดผมยังอยู่ระหว่างมองหาโรงแรมในเครือ International chain อยู่ 2-3 แห่ง เพียงแค่พูดแผนงานกับพนักงาน SCB ไม่นานเขาก็แจ้งกลับมาว่าตั้งงบสนับสนุนไว้ให้ 3,000 ล้านบาท นี่ยิ่งตอกย้ำถึงความสัมพันธ์ที่ยาวนานจนไม่ต้องอธิบายมาก”
- เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างยั่งยืน
สำหรับอนาคตของภูเก็ต “ประมุข” มองว่าภาคเอกชนทำได้ดีและมีศักยภาพสูง แต่สิ่งที่กังวลคือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ แต่สิ่งที่สำคัญเราต้องเร่งแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม น้ำเสียลงทะเล การเผาป่า ควันดำ PM2.5 และต้องลงทุนระบบสาธารณูปโภคอย่างจริงจัง ไม่ใช่มาหาเราเฉพาะเวลาที่เศรษฐกิจแย่ แต่ลืมพัฒนาในวันที่เศรษฐกิจดี ภูเก็ตเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ รัฐบาลต้องจริงจังและลงมือทันที
สุดท้ายแล้ว “ประมุข”ปิดท้ายว่า จากบังกะโลไม้ไผ่ 9 หลัง สู่เครือโรงแรม 9 แห่ง จากเริ่มต้นธุรกิจด้วยค่าที่พักเพียง 40 บาทต่อคืน มาสู่กิจการที่มั่นคงกว่า 45 ปี จนกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มโรงแรมชั้นนำของภาคใต้ของไทย บริหารงานโดยคนไทยที่ปัจจุบัน กะตะกรุ๊ป มีโรงแรมและรีสอร์ทในเครือกว่า 9 แห่งใน 4 จังหวัดภาคใต้ รวมกว่า 2,200 ห้องพัก ตั้งอยู่ในทำเลท่องเที่ยวยอดนิยมของไทย ติด“TOP 3” ของกลุ่มโรงแรมที่มีจำนวนห้องพักมากที่สุดในฝั่งทะเล“อันดามัน”
เส้นทางทั้งหมดนี้ของ “กะตะกรุ๊ป” ไม่ได้เดินทางด้วยโชค แต่เกิดจากการคิดล่วงหน้า ลงมือทำจริง สร้างพันธมิตรที่มั่นคง และยึดมั่นในแนวคิดความยั่งยืน ดังนั้นหากมองไปข้างหน้า เขาเองก็คาดหวังว่า จะเห็นการขยายธุรกิจสู่ระดับสากล และเขาเองต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้ภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ยั่งยืนในทุกมิติ







