ครั้งแรก อัครา x จุฬาฯ เปลี่ยนหางแร่เหลือทิ้ง จากเหมืองทองคำ เป็นอิฐรักษ์โลก

อัครา รีซอร์สเซสฯ จับมือกับจุฬาฯ นำ “หางแร่” จากเหมืองทองคำและเงิน มาวิจัยพัฒนาเป็นวัสดุก่อสร้างคุณภาพสูง เช่น อิฐบล็อก หางแร่ที่เหมืองทองชาตรี 1 บ่อมีปริมาณกว่า 22 ล้านตันต่อปี มีศักยภาพใช้ประโยชน์สูง
KEY
POINTS
- บริษัท อัครา รีซอร์สเซสฯ จับมือกับจุฬาฯ นำ “หางแร่” จากเหมืองทองคำและเงิน มาวิจัยพัฒนาเป็นวัสดุก่อสร้างคุณภาพสูง เช่น อิฐบล็อก
- หางแร่ที่เหมืองทองชาตรี 1 บ่อมีปริมาณกว่า 22 ล้านตันต่อปี มีศักยภาพใช้ประโยชน์สูง
- ตั้งเป้าสร้าง “วิสาหกิจชุมชนสีเขียว” ที่ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดของเสีย และสร้างรายได้ให้ชุมชน
- สนับสนุนงบวิจัย 3 ล้านบาทต่อปี นาน 3 ปี วิจัยองค์ประกอบของหางแร่ เพื่อผลิตวัสดุก่อสร้างที่ปลอดภัยและใช้ได้จริงในตลาด
- จัดตั้งวิสาหกิจชุมชนจริงในพื้นที่ ชาวบ้านมีส่วนร่วมผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้างจากหางแร่
- ภายใน 2–3 ปี อาจต่อยอดพัฒนาไปสู่วัสดุฉนวน คอนกรีตเบา และการใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ
บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจเหมืองทองคำและเงินเพียงรายเดียวในประเทศไทย พลิกวิธีคิดด้านการจัดการของเสียจากกิจกรรมเหมืองแร่ ด้วยการจับมือกับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดำเนินการวิจัยและพัฒนาเพื่อนำ "หางแร่" (tailings) ซึ่งเป็นวัสดุเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิต มาต่อยอดเป็นวัสดุก่อสร้างคุณภาพสูง
มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ที่ไม่เพียงมุ่งเน้นการรีไซเคิลของเหลือทิ้ง แต่ยังวางรากฐานสำหรับสร้างธุรกิจชุมชนในพื้นที่นำร่อง โดยสนับสนุนให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ไปพร้อมกัน
โครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนผ่านงบวิจัยต่อเนื่องจากบริษัทอัคราฯ จำนวน 3 ล้านบาทต่อปี เป็นระยะเวลา 3 ปี เพื่อศึกษาองค์ประกอบทางวิทยาศาสตร์ของหางแร่จากกระบวนการผลิตแร่ทองคำและเงิน พร้อมนำมาพัฒนาเป็น “อิฐบล็อก” ในระยะแรก ที่มีคุณสมบัติแข็งแรง ทนทาน และมีศักยภาพในการใช้งานจริงในภาคก่อสร้าง
จุดเริ่มต้นสู่การต่อยอดยิ่งใหญ่
"ดร.ศุภิชัย ตั้งใจตรง" กรรมการผู้อำนวยการ ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงบทบาทของศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาฯ ว่า ศูนย์ทำหน้าที่เป็นกลไกหลักในการนำองค์ความรู้จากคณาจารย์และนิสิต ซึ่งมีอยู่หลายหมื่นคนไปสู่การใช้จริงในภาคสังคม โดยยึดหลักการของ “วิสาหกิจของมหาวิทยาลัย” เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบอย่างแท้จริง
"ความร่วมมือในครั้งนี้กับบริษัทอัคราฯ นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการขับเคลื่อนสู่การพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม และยั่งยืนยิ่งขึ้น จุฬาฯในฐานะสถาบันอุดมศึกษาที่มีทรัพยากรทางปัญญาและบุคลากรทางวิชาการจำนวนมาก มีเป้าหมายชัดเจนในการนำองค์ความรู้ที่เรามี ไปตอบโจทย์สังคม ไม่เพียงแค่ผลิตบัณฑิต ซึ่งเป็นภารกิจหลักเท่านั้น ความร่วมมือนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งนิสิต คณาจารย์ บริษัท และที่สำคัญที่สุดคือสังคมโดยรวม”
"ดร.ศุภิชัย" ยังได้อธิบายว่า ความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นต้นแบบของการประสานงานระหว่างภาควิชาการและภาคอุตสาหกรรม ที่สามารถขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และชุมชนของประเทศไทย
ทิศทางและกลยุทธ์ของอัครา
“เชิดศักดิ์ อรรถอารุณ” ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายความยั่งยืนขององค์กร บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ได้เปิดเผยถึงทิศทางและกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของบริษัทที่แบ่งเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือ
ส่วนที่ 1 การผลิตและประกอบโลหกรรมทองคำ ทองคำทุกเม็ดที่ผลิตจากเหมืองแร่ทองคำชาตรีจะถูกนำมาสร้างมูลค่าเพิ่มภายในประเทศ ตั้งแต่การผลิต "แท่งโดเร่" (แท่งโลหะผสมทองคำและเงิน) ซึ่งมีทองคำ 10-12% และเงินกว่า 80% ก่อนส่งไปสกัดเป็นทองคำบริสุทธิ์ 99.9% และเงิน 95.5% เพื่อป้อนให้กับผู้ประกอบการอัญมณีในประเทศ ส่วนที่ 2 ที่สำคัญไม่แพ้กันคือ พันธกิจที่ตั้งใจจะเติบโตไปพร้อมกับชุมชนรอบเหมือง บริษัทดำเนินงานผ่าน 3 กลไกหลัก ได้แก่
1. งบประมาณจากบริษัทโดยตรง เพื่อสนับสนุนโครงการที่สร้างประโยชน์แก่ชุมชน
2. เงินกองทุนตามกฎหมาย ที่นำส่ง 5% ของรายได้ พร้อมค่าภาคหลวง 3% เพื่อจัดสรรโดยประชาชนในพื้นที่ โดยไม่มีส่วนกลางเข้ามาแทรกแซง
3. การพูดคุยและแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิดกับชุมชน ผ่านการทำงานของ ‘ทีมชุมชน’ ที่เข้าถึงทุกหลังคาเรือนในรัศมี 5 กิโลเมตรรอบเหมือง หรือประมาณ 5,000–6,000 หลังคาเรือน เพราะบริษัทเชื่อในการสื่อสารแบบสองทาง เพื่อรับฟังข้อเสนอจากประชาชน และให้ข้อมูลอย่างโปร่งใสและจริงใจ
แก้ Pain Point "หางแร่” เหลือใช้ 90%
สำหรับการตัดสินใจร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในครั้งนี้ “เชิดศักดิ์” กล่าวว่า เป็นเพราะอัคราฯ เผชิญกับปัญหาใหญ่เรื่อง "หางแร่" ซึ่งเป็นส่วนที่เหลือใช้จากการทำเหมืองโลหะ เนื่องจากความสมบูรณ์ของแร่ทองคำที่สกัดได้มีเพียง 0.5 ส่วนในล้านส่วน หรือทองแดง 2-3% ทำให้มีส่วนที่เหลือใช้มากถึง 80-90%
ในเชิงธุรกิจมันกลายเป็นโจทย์สำคัญที่ต้องหาทางจัดการของเหลือใช้อย่างมีประสิทธิภาพ และในขณะเดียวกัน ปัญหาสิ่งแวดล้อมของโลก โดยเฉพาะเรื่องโลกร้อน ทำให้ของเสียจากอุตสาหกรรมก็เป็นเรื่องที่เราต้องใส่ใจมากขึ้น การจัดการหางแร่ให้เกิดประโยชน์จึงเป็นทั้งทางออกเชิงเศรษฐกิจและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
แต่เราก็ต้องอาศัยองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญเพื่อลดปริมาณหรือนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริง นี่จึงเป็นที่มาของความร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งมีองค์ความรู้และทีมคณาจารย์ที่มีความเชี่ยวชาญ
กระบวนการดำเนินงาน
“เชิดศักดิ์” อธิบายต่อว่า การดำเนินโครงการภายใต้ MOU จะแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 3 ช่วงหลัก คือ
- ช่วงแรก (ประมาณครึ่งหนึ่งของโครงการ) มุ่งเน้นไปที่การศึกษาและวิเคราะห์ความปลอดภัยของหางแร่ให้แน่ชัด วิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมี ทดสอบการนำไปใช้ในลักษณะต่าง ๆ และประเมินความเสี่ยงและจัดทำมาตรฐานควบคุม
- ช่วงกลาง เป็นการขึ้นรูปและทดสอบคุณภาพของวัสดุ เช่น อิฐบล็อก เพื่อเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์ทั่วไปในตลาด
- ช่วงสุดท้าย เป็นการเตรียมผลิตภัณฑ์ต้นแบบ พร้อมทดลองใช้งานจริงในพื้นที่รอบเหมือง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและรับรองมาตรฐาน
ที่สำคัญการดำเนินงานจะมีส่วนร่วมของชุมชน เริ่มต้นจากพื้นที่นำร่องรอบเหมืองที่อยู่ในเขตเกษตรกรรม เช่น จังหวัดพิจิตร และพิษณุโลก โดยมีการจัดตั้ง 'วิสาหกิจชุมชน' เพื่อให้คนในพื้นที่เป็นเจ้าของกิจการและร่วมพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม
“เราค่อยๆ สร้างความเข้าใจและความมั่นใจให้ชุมชน ใช้วัสดุต้นแบบในการก่อสร้างจริงภายในพื้นที่ เพื่อให้เห็นผลลัพธ์จริง เมื่อได้รับการรับรองความปลอดภัยและมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) จึงขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ"
ลดต้นทุนผลิตวัสดุก่อสร้าง
“เชิดศักดิ์” กล่าวด้วยว่า แนวคิดการนำหางแร่มาใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้างนี้เป็นหนึ่งในความพยายามขับเคลื่อนแนวทาง “Zero Waste Mining” หรือการทำเหมืองแบบไร้ของเสีย
“เราใช้เวลา 3–4 ปี ศึกษาและทดลองการใช้งานจริงว่าหางแร่เหล่านี้มีศักยภาพนำมาใช้ใหม่ได้หรือไม่ เพราะที่ผ่านเคยถูกจัดเก็บเท่านั้น ซึ่งหางแร่ที่ผ่านกระบวนการผลิตมาแล้วมีลักษณะ 'ละเอียดมาก' จนสามารถนำไปใช้งานได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการบดหรือแปรรูปเพิ่มเติม ช่วยลดต้นทุนการผลิตวัสดุก่อสร้างได้อย่างมีนัยสำคัญ"
หากเทียบกับหินจากโรงโม่ทั่วไป ต้องผ่านหลายขั้นตอนกว่าจะได้วัสดุที่ละเอียดเพียงพอ แต่หางแร่ของเรามีความละเอียดระดับผงแป้งตั้งแต่ต้น ถือเป็นข้อได้เปรียบสำคัญ เพราะสามารถนำไปใช้งานเป้นวัตถุดิบได้เลยทันที
หางแร่มีคุณสมบัติเด่น 2 สองประการที่ส่งผลให้หางแร่มีศักยภาพในการเป็นวัสดุก่อสร้าง ได้แก่
- ความแข็งแกร่งจากองค์ประกอบของแร่ เช่น ควอตซ์และเฟลด์สปาร์ ซึ่งมีความแข็งมากกว่าหินปูนที่ใช้กันโดยทั่วไป
- ความละเอียดของเนื้อวัสดุในระดับไมครอน ทำให้เหมาะสำหรับการผลิตวัสดุก่อสร้างคุณภาพสูงโดยไม่ต้องใช้พลังงานเพิ่มเติมในการแปรรูป
ศักยภาพของหางแร่
"ภูริวิทย์ สังข์ศิริ" รองผู้จัดการฝ่ายวิทยาศาสตร์และสุขภาพ บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า บ่อเก็บหางแร่ที่ 1 (จาก 2 บ่อ) ของบริษัท ที่เหมืองแร่ทองคำชาตรี ที่อยู่ในเขตพื้นที่คาบเกี่ยว 3 จังหวัด ได้แก่ พิจิตร เพชรบูรณ์ และพิษณุโลก มีปริมาณหางแร่สะสมอยู่ประมาณ 22 ล้านตันต่อปี ซึ่งเป็นปริมาณมหาศาลที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย
“ที่ผ่านมา อัคราเคยมีงานวิจัยที่ประสบความสำเร็จในการนำหางแร่ไปผลิตเป็น ก้อนไบโอซีเมนต์ ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าไม่มีปัญหาทางเคมีและไม่เป็นของเสียอันตราย โดยจุลินทรีย์สามารถเจริญเติบโตและรวมตัวกันเป็นก้อนได้ นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อนำหางแร่ไปใช้ใน อุตสาหกรรมปิโตรเลียม (การสำรวจและผลิต) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการใช้ประโยชน์จากหางแร่ให้ได้มากที่สุด”
ในด้านมาตรการความปลอดภัย ซึ่งเป็นข้อกังวลที่สำคัญนั้น ได้มีการยืนยันว่า หางแร่แท้จริงแล้วคือ "หิน" ที่ถูกบดละเอียดและผ่านกระบวนการสกัดทองคำออกไปเท่านั้น คุณสมบัติดั้งเดิมของหินจึงยังคงอยู่
“อัคราฯ ได้มีการวิจัยความปลอดภัยของหางแร่อย่างต่อเนื่องและหลากหลายวิธีมาโดยตลอด ไม่ใช่แค่เฉพาะในโครงการนี้ มีการวิเคราะห์ตัวอย่างอย่างเป็นระบบ ทั้งสารไซยาไนด์และโลหะอื่นๆ ตั้งแต่ก่อนการทำเหมืองและหลังผ่านกระบวนการ โดยใช้มาตรฐานต่างๆ เช่น มาตรฐานสารอันตราย หรือมาตรฐานดิน ซึ่งผลลัพธ์จากห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน ยืนยันว่าอยู่ในระดับที่ปลอดภัยและสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้”
จุฬาฯ มุ่งเน้นสร้างความยั่งยืน
"รศ.ดร.จิรวัฒน์ ชีวรุ่งโรจน์" หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมเหมืองแร่และปิโตรเลียม คณะวิศวกรรมศาตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในยุคปัจจุบัน ภารกิจของมหาวิทยาลัยไม่ได้หยุดอยู่แค่การผลิตบัณฑิตเชิงวิชาการเท่านั้น แต่ต้องสร้าง ‘คนคุณภาพ’ ที่มีความรู้ ความเข้าใจ และความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างรอบด้าน
การเรียนในห้องเรียนอย่างเดียวไม่เพียงพอ การได้สัมผัสกับภาคอุตสาหกรรมจริง ๆ คือส่วนสำคัญที่จะทำให้บัณฑิตมีความเข้าใจระบบการผลิต ความท้าทายในชีวิตจริง และความเชื่อมโยงกับชุมชน
ความร่วมมือครั้งนี้จึงเปรียบเสมือนการเปิด ‘โรงเรียนภาคสนาม’ ให้แก่นักศึกษา เพื่อฝึกงานจริง (on-the-job learning) กับภาคธุรกิจชั้นนำ พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้คณาจารย์ได้พัฒนาองค์ความรู้ใหม่ ๆ ที่สามารถส่งกลับคืนสู่สังคมได้โดยตรง ถือเป็นการบรรลุเป้าหมายทั้งในด้านการพัฒนาบุคลากรและการวิจัยเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่มีคุณค่าต่อชุมชน
นอกจากนี้ จุฬาฯ ยังมุ่งเน้นการสร้าง ความยั่งยืน โดยนำทรัพยากรส่วนที่เหลือกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และที่สำคัญคือการผลิตวิศวกรที่มีความพร้อมในการช่วยเหลือสังคมและชุมชน รวมถึงการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ๆ เพื่อคืนสู่สังคม
หางแร่ ไม่ใช่ขยะ แต่เป็น 'ทรัพยากร'
“ดร.พีท หอมชื่น” อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเหมืองแร่และปิโตรเลียม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เดิมทีคนมักมองหาวัตถุดิบหลักที่จะส่งเสริมอุตสาหกรรม โดยแทบไม่ได้นำของเสียจากการผลิตเข้ามาพิจารณา แต่ในปัจจุบัน ทัศนคติเปลี่ยนไป หางแร่ที่เคยถูกมองว่าเป็นของเสีย กำลังถูกนิยามใหม่ว่าเป็น ‘ทรัพยากรรอง’ หรือ secondary resources ที่สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริง
“จริงๆ เราได้ศึกษาวัสดุเหลือใช้จากเหมืองแร่ทั่วประเทศมาอย่างต่อเนื่อง และสิ่งที่เราพัฒนาขึ้นจะถูกออกแบบให้เหมาะสมกับพื้นที่และชุมชนแต่ละแห่ง เพื่อสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ในระดับท้องถิ่น"
ผมจำได้ว่าในการพูดคุยครั้งแรกกับคุณเชิดศักดิ์ ท่านพูดประโยคหนึ่งที่ว่า ‘อยากทำเพื่อชุมชน ไม่ใช่เพื่อการขาย’ ประโยคนั้นมีพลังมากจนทำให้เราตัดสินใจเข้าร่วมโครงการนี้ทันที
การนำหางแร่มาผลิตเป็นวัสดุก่อสร้างที่ไม่ซับซ้อน เช่น อิฐบล็อก จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างในพื้นที่ได้อย่างมาก หากงานวิจัยพิสูจน์ได้ว่าผลิตภัณฑ์มีคุณสมบัติที่เหนือกว่าของที่มีในตลาด ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสในการจำหน่ายได้ในวงกว้าง ไม่ใช่แค่ในพื้นที่พิจิตรหรือเพชรบูรณ์
โครงการนี้มุ่งหวังจะยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน ซึ่งเป็นพื้นที่ราบที่ขาดแคลนทรัพยากรก่อสร้าง ทำให้ราคาวัสดุก่อสร้างสูงเนื่องจากต้องขนส่งมาจากที่ไกล
วิสาหกิจชุมชน ขายอิฐ และสินค้า Circular Economy
“ดร.พีท” กล่าวด้วยว่า มีแผนที่จะร่วมกันจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนกับอัคราฯ ในพื้นที่รอบเหมือง เพื่อให้คนในท้องถิ่นที่สนใจได้เข้ามาเรียนรู้และร่วมผลิตวัสดุก่อสร้างประเภทนี้ ซึ่งในเชิงเทคโนโลยีแล้วไม่ซับซ้อนมากนัก
ด้านจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะสนับสนุนบุคลากรผู้เชี่ยวชาญจากหลายสาขาวิชา ทั้งวิศวกรรมเหมืองแร่ วัสดุศาสตร์ สิ่งแวดล้อม และสังคม เพื่อให้ความรู้แก่ชาวบ้านในวิสาหกิจชุมชน ในด้านเทคนิคการผลิต การควบคุมคุณภาพ การบริหารจัดการ และการขาย
นอกจากนั้น “ดร.พีท” คาดการณ์ว่า ในระยะ 2–3 ปีข้างหน้า หางแร่อาจพัฒนาไปสู่วัสดุขั้นสูง (Advanced Materials) เช่น ฉนวนและคอนกรีตน้ำหนักเบา รวมถึงวัสดุสำหรับอุตสาหกรรมอื่นๆ ซึ่งเป็นโจทย์ท้าทายในการปรับองค์ความรู้ให้เหมาะกับท้องถิ่นและคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ
ความร่วมมือครั้งนี้ไม่ได้มุ่งหวังผลเชิงพาณิชย์เพียงอย่างเดียว แต่คาดหวังให้เกิด 'โมเดลต้นแบบของการบริหารจัดการของเสียอย่างยั่งยืน' ที่สามารถขยายไปยังพื้นที่อื่นของประเทศไทย เพื่อพลิกโฉมอุตสาหกรรมเหมืองแร่ไทยสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง — ไม่เฉพาะด้านเศรษฐกิจ แต่ครอบคลุมทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม







