Asia Climate Summit 2025 ไทยรวมพลัง ขายคาร์บอนเครดิต 1 ล้านตันกลางปี 2026

Asia Climate Summit 2025 เน้นความร่วมมือระดับชาติของไทยในการพัฒนาเมืองคาร์บอนต่ำและตลาดคาร์บอน การประสานงานระหว่าง DCCE, สบน., กทม., กนอ., ธนาคารเพื่อการส่งออกฯ และธนาคารโลก เป็นกุญแจสำคัญในการเร่งการลดคาร์บอนอย่างยั่งยืน
KEY
POINTS
- Asia Climate Summit 2025 เน้นถึง ความร่วมมือระดับชาติของไทยในการพัฒนาเมืองคาร์บอนต่ำและตลาดคาร์บอน
- DCCE ผลักดันกฎหมายสภาพภูมิอากาศ ตั้งเป้าผลิต เครดิตคาร์บอน 1 ล้านเครดิต และสร้างแพลตฟอร์มร่วมกับ SET
- กระทรวงการคลัง:
- เน้นกลไกทางการเงินสีเขียวและเครื่องมือการลงทุนอย่าง พันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (SLBs)
- กทม. และการปลดล็อกศักยภาพท้องถิ่น
- โครงการ LCC ช่วยยกระดับการลดคาร์บอนจากระดับเล็กเป็นระดับระบบ
- การประสานงานระหว่าง DCCE, สบน., กทม., กนอ. และองค์กรระหว่างประเทศ (ธนาคารโลก, ธนาคารเพื่อการส่งออกฯ) เป็นกุญแจสำคัญในการเร่งการลดคาร์บอนอย่างยั่งยืน
- กรุงเทพฯ รับผิดชอบ GHG ของประเทศ ~10%
Asia Climate Summit (ACS) 2025 คือการประชุมระดับภูมิภาคที่สำคัญที่สุดในเอเชียแปซิฟิกด้านตลาดคาร์บอนและการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ จัดโดย IETA (International Emissions Trading Association : สมาคมการซื้อขายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกระหว่างประเทศ)
และในปี 2025 ไทยได้รับการเป็นเจ้าภาพอย่างเป็นทางการ โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย ระหว่างวันที่ 8–10 กรกฎาคม 2025 ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ มีผู้เข้าร่วมกว่า 800 คนจากทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและทั่วโลก มุ่งเน้นการขับเคลื่อนตลาดคาร์บอน การเงินด้านสภาพภูมิอากาศ และนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน
แพลตฟอร์มร่วมมือ “เมืองคาร์บอนต่ำ"
ในการประชุมสุดยอดสภาพภูมิอากาศแห่งเอเชีย (ASC) เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2025 มีช่วงเวลาสำคัญ คือการเปิดตัว Low-carbon Cities and Carbon Market Development (แพลตฟอร์มความร่วมมือเมืองคาร์บอนต่ำและการพัฒนาตลาดคาร์บอนของประเทศไทย) อย่างเป็นทางการในเวที โดยมีองค์กรภาครัฐและพันธมิตรระดับนานาชาติร่วมผลักดันอย่างแข็งขัน นำโดย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, กระทรวงการคลัง, ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank), ธนาคารกรุงไทย, และ ธนาคารโลก (World Bank)
แพลตฟอร์มความร่วมมือนี้มุ่งเป้าสร้างเครดิตคาร์บอนคุณภาพสูงจากภาคเมืองและภาคอุตสาหกรรม พร้อมส่งเสริมการลงทุนในพลังงานสะอาด การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยใช้โมเดล ESCO (Energy Service Company) เพื่อแก้ปัญหาการขาดเงินลงทุนเบื้องต้นสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย
ตั้งเป้าขายคาร์บอนเครดิต 1 ล้านตันกลางปี 2026
"เมลินดา กู้ด" ผู้อํานวยการประจําประเทศไทยและประเทศเมียนมา กล่าวว่า เครดิตคาร์บอนคุณภาพสูงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งต่อนักลงทุน ประเทศ และประชาชน ธนาคารโลกได้ให้การสนับสนุนด้านเทคนิคในการออกแบบโครงสร้างแพลตฟอร์ม ระบบการเงิน และการเชื่อมโยงกับมาตรฐานสากล เพื่อให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาตลาดคาร์บอนที่น่าเชื่อถือ ยั่งยืน และเป็นต้นแบบให้กับประเทศรายได้ปานกลางในภูมิภาค โดยมีแผนนำเสนอความก้าวหน้าในเวทีประชุมประจำปีของ IMF–WBG (International Monetary Fund and the World Bank Group) ซึ่งประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพในปี 2569
โครงการ Low Carbon Cities (LCC) ของประเทศไทยจะเริ่มดำเนินการจริงในปลายปีนี้ โดยผสานความร่วมมือจากภาคเมือง ภาคอุตสาหกรรม ภาคการเงิน และความช่วยเหลือจากสถาบันการเงินระดับโลก ถือเป็นกลไกสำคัญในการเปลี่ยนผ่านประเทศสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำจากแรงขับเคลื่อนของตลาด
EXIM Bank และธนาคารกรุงไทยจะทำหน้าที่เป็น หน่วยงานประสานและบริหารจัดการ (CME) ในการรวบรวมโครงการลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศ ลงทะเบียนกับมาตรฐานสากล เช่น Verra, Gold Standard และ GCC และบริหารการขายเครดิตผ่าน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทั้งแบบ Spot และ Forward โดยตั้งเป้าจำหน่าย เครดิตคาร์บอน 1 ล้านตันแรกภายในกลางปี 2569
การทำงานร่วมกันทั้งภาครัฐ
นอกจากนั้นในมีสัมมนาสำคัญในหัวข้อ "Thailand’s Low Carbon City and Carbon Market Development Project Building Market Confidence through Credible Urban Climate Action" (โครงการพัฒนาเมืองคาร์บอนต่ำและตลาดคาร์บอนของประเทศไทย: การสร้างความเชื่อมั่นของตลาดผ่านการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศในเมืองที่น่าเชื่อถือ)
ได้ฉายภาพแนวทาง "การทำงานร่วมกันทั้งภาครัฐ" ของประเทศไทยในการบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศที่ทะเยอทะยาน ประกอบด้วย ปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (DCCE), สิริภา สัตยานนท์ ผู้อำนวยการกองบริหารการระดมทุนโครงการลงทุนภาครัฐ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กระทรวงการคลัง, ผู้แทนจากกรุงเทพมหานคร และ บุปผา กวินวศิน รองผู้ว่าการ (พัฒนาที่ยั่งยืน) ผู้แทนจากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)
วิสัยทัศน์ตลาดคาร์บอนที่พลิกโฉม
“ปวิช เกศววงศ์” รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (DCCE) ได้นำเสนอวิสัยทัศน์และสถาปัตยกรรมด้านกฎระเบียบของตลาดคาร์บอนของประเทศไทย โดยเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของการพัฒนาตลาดคาร์บอนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG)
“ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กำลังจะออกมานั้น ได้รับการออกแบบให้ครอบคลุมการเงินเพื่อสภาพภูมิอากาศ ระบบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS) และบทบัญญัติสำหรับเครดิตคาร์บอนและภาษีคาร์บอน”
"ปวิช" ชี้ให้เห็นว่าโครงการพัฒนาเมืองคาร์บอนต่ำ (Low Carbon City : LCC) และตลาดคาร์บอนที่ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารโลกนั้น คาดว่าจะเป็นโครงการเรือธงสำหรับการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ DCCE ตั้งเป้าหมายที่จะสร้างเครดิตคาร์บอนให้ได้ 1 ล้านเครดิต โดยจะมีการพัฒนาแพลตฟอร์มร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมในตลาดอนาคต นับตั้งแต่ก่อตั้ง DCCE ได้แสดงบทบาทในการประสานงานที่ยอดเยี่ยมระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ ในด้านที่สำคัญนี้
การเงินภาครัฐ ตัวเร่งการลงทุนสีเขียว
“สิริภา สัตยานนท์” ผู้อำนวยการกองบริหารการระดมทุนโครงการลงทุนภาครัฐ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กระทรวงการคลัง ได้กล่าวถึงบทบาทสำคัญของภาครัฐ โดยได้ให้รายละเอียดว่าการเงินภาครัฐสามารถสร้างรายได้จากเครดิตคาร์บอนเพื่อเสริมความพยายามในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ และพันธกรณีภายใต้ข้อตกลงปารีส
สบน. เน้นย้ำถึงความสำคัญของกฎระเบียบระดับชาติสำหรับสถาบันการเงินภาครัฐ เพื่อสร้างแนวทางที่ชัดเจนในการเชื่อมโยงนโยบายกับการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม โดยกลยุทธ์สำคัญประกอบด้วย
- การร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญเชิงกลยุทธ์ระหว่างประเทศ เพื่อขยายขนาดการทำธุรกรรมภาครัฐผ่านแนวทางแก้ปัญหาที่อิงธรรมชาติ
- การสำรวจกลไกทางการเงินที่เป็นนวัตกรรมใหม่ โดย สบน. อำนวยความสะดวกในการเข้าถึงเครื่องมือทางการเงินที่ยั่งยืนสำหรับภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ
- การพัฒนากรอบการจัดหาเงินทุนเพื่อความยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยเริ่มจากการออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืนชุดแรกในปี 2563 เพื่อระดมทุนสำหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวและสังคม ตามมาด้วยการเปิดตัวพันธบัตรที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืน (SLBs) หรือพันธบัตรเปลี่ยนผ่านในปี 2567 พันธบัตรเหล่านี้เชื่อมโยงกับเป้าหมายที่ทะเยอทะยาน: การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย 30% และการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่มีการปล่อยมลพิษใหม่ อย่างน้อย 440,000 คัน ภายในปี 2573
- การทำงานร่วมกับ DCCE, ธนาคารโลก, ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ ที่ใช้กระแสเงินสดจากเครดิตคาร์บอนจากการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะช่วยวางตำแหน่งเครดิตคาร์บอนที่ผ่านการรับรองของประเทศไทยในตลาดเครดิตคาร์บอนระหว่างประเทศ
"สิริภา" ยังเน้นย้ำถึงหลักการของวินัยทางการคลังและความรับผิดชอบในการลงทุนในโครงการภาครัฐ เพื่อให้แน่ใจถึงความแข็งแกร่งของแบบจำลองทางการเงินและการใช้เงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ รายได้จากการขายเครดิตคาร์บอนที่ผ่านการตรวจสอบแล้วสามารถนำกลับไปลงทุนในโครงการภาครัฐ การพัฒนาสังคม หรือแม้กระทั่งการบรรเทาภาระหนี้ของรัฐบาลได้
การแก้ปัญหาข้อจำกัดระดับรากหญ้า
ผู้แทนจากกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้กล่าวถึงความท้าทายที่เผชิญอยู่ในระดับท้องถิ่นและประโยชน์ของโครงการ LCC กรุงเทพฯ ซึ่งมีส่วนรับผิดชอบประมาณ 10% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย มีความมุ่งมั่นอย่างลึกซึ้งในการลดคาร์บอน
แม้ว่า กทม. จะมีสินทรัพย์จำนวนมาก เช่น ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร โรงพยาบาล และโรงเรียน รวมถึงไฟส่องสว่างหลายแสนดวงที่สามารถอัปเกรดด้วยแผงโซลาร์เซลล์และไฟ LED ประหยัดพลังงานได้ แต่ ข้อจำกัดหลักคือเรื่องของ 'ขนาด' ความพยายามในอดีตเป็นไปอย่างช้าๆ มักขึ้นอยู่กับงบประมาณโครงการต่อโครงการ หรือความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคเอกชน (CSR)
โครงการ LCC ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการ ปลดล็อกการลดคาร์บอนในขนาดที่ใหญ่ขึ้น ทำให้สามารถอัปเกรดหลายส่วนพร้อมกันได้ แนวทางนี้ช่วยเอาชนะอุปสรรค เช่น ค่าใช้จ่ายสูงในการทำซ้ำสำหรับแต่ละโครงการ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้ประกาศวิสัยทัศน์ให้กรุงเทพฯ เป็น "เมืองแห่งพลังงานแสงอาทิตย์" โดยมุ่งหวังที่จะใช้ประโยชน์จากแสงแดดที่อุดมสมบูรณ์ของประเทศไทย
นิคมอุตสาหกรรมขับเคลื่อนลดคาร์บอน
“บุปผา กวินวศิน" รองผู้ว่าการ (พัฒนาที่ยั่งยืน) ผู้แทนจากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ได้เน้นย้ำว่านิคมอุตสาหกรรมกำลังถูกเปลี่ยนให้เป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ โดยมุ่งเน้นอย่างมากในด้านประสิทธิภาพพลังงาน การจัดการของเสีย การบูรณาการพลังงานหมุนเวียน และแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน กนอ. กำกับดูแลนิคมอุตสาหกรรม 74 แห่ง ซึ่งมีโรงงาน 5,000 แห่ง และมีพนักงานมากกว่า 1 ล้านคน
ความคิดริเริ่มของ กนอ. สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรมในการส่งเสริมการเติบโตที่ให้ความสำคัญกับการปกป้องสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาชุมชนที่ยั่งยืน โครงการ LCC จะสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านที่สะอาดนี้ นิคมอุตสาหกรรมถูกมองว่าเป็น "กลไกขับเคลื่อนการลดคาร์บอน" โดยการรวมมาตรการลดผลกระทบในวงกว้าง กลยุทธ์ต่างๆ รวมถึงประสิทธิภาพพลังงาน พลังงานหมุนเวียน การจัดการของเสียและกระบวนการทางอุตสาหกรรม และการดักจับคาร์บอน
แพลตฟอร์ม LCC จะช่วยให้สามารถ ตรวจสอบและสร้างรายได้จากการเปลี่ยนผ่านสู่คาร์บอนต่ำ ภายในพื้นที่เหล่านี้ ซึ่งจะส่งเสริมโซลูชั่นอุตสาหกรรมแบบรวมที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ความพยายามระดับชาติที่ประสานกันเพื่อการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ







