‘เมฆ’ มีน้อยลง สะท้อนแสงแดดต่ำ โลกสะสมความร้อน วิกฤติสภาพอากาศรุนแรงขึ้น

การวิจัยพบว่าปริมาณเมฆที่สะท้อนแสงแดดกำลังลดลง ในเขตเส้นศูนย์สูตร และทำให้วิกฤติสภาพอากาศทวีความรุนแรงมากขึ้น
KEY
POINTS
- ปริมาณเมฆที่ลดลง โดยเฉพาะเมฆสีขาวที่ช่วยสะท้อนแสงแดด เป็นผลมาจากก๊าซเรือนกระจก ทำให้โลกสะสมความร้อนมากขึ้น
- งานวิจัยชี้ว่าเมฆสีขาวที่สะท้อนแสงได้ดีมีจำนวนลดลง 1.5-3% ในช่วง 24 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในแถบศูนย์สูตร
- เมื่อเมฆสะท้อนแสงอาทิตย์กลับสู่อวกาศได้น้อยลง พลังงานความร้อนจึงถูกดูดซับโดยมหาสมุทรและพื้นผิวโลกมากขึ้น ส่งผลให้อุณหภูมิสูงขึ้น
- การเปลี่ยนแปลงของเมฆถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภาวะโลกร้อนรุนแรงขึ้น และอุณหภูมิโลกพุ่งสูงกว่าที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ไว้
ตามปรกติแล้ว พื้นผิวโลกประมาณสองในสามถูกปกคลุมด้วยเมฆ ซึ่งเมฆเหล่านี้จะช่วยทำให้โลกเย็นลง แต่เมื่อ “ก๊าซเรือนกระจก” ในชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้นจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลของมนุษย์ ก็ทำให้ปริมาณเมฆลดลง และส่งผลให้เกิด “ภาวะโลกร้อน” มากขึ้น
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้นมากกว่าที่นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศคาดไว้ จากการศึกษาโดยสถาบันกอดดาร์ดเพื่อการศึกษาด้านอวกาศ แห่งนาซา ซึ่งวิเคราะห์ข้อมูลจากดาวเทียม 2 ประเภทที่บันทึกการปกคลุมของเมฆและการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในปริมาณพลังงานของดวงอาทิตย์ที่โลกเก็บไว้ พบว่า การเปลี่ยนแปลงของเมฆมีส่วนสำคัญที่ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น
เมฆโซนสว่างหดตัวลง
รูปแบบลมของโลกถูกขับเคลื่อนโดยอากาศร้อนที่ลอยขึ้นใกล้เส้นศูนย์สูตรและการหมุนของโลก ทำให้เกิดกระแสลมหมุนเวียนขนาดใหญ่ที่วนเวียนไปมาทั่วโลก ขณะเดียวกันระบบอากาศในท้องถิ่น เป็นตัวกำหนดตำแหน่งและประเภทของเมฆ ดังนั้น เมื่อรูปแบบการหมุนเวียนหลักในชั้นบรรยากาศกำลังเปลี่ยนแปลงไปอันเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน รูปแบบของเมฆก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
เมฆช่วยให้โลกเย็นลงโดยสะท้อนแสงอาทิตย์ออกสู่ห้วงอวกาศก่อนที่จะถึงพื้นโลก โดยเฉพาะ “เมฆสีขาว” มันวาวที่รวมกลุ่มกันหนาแน่นจะสะท้อนแสงอาทิตย์ออกไปมากกว่า ซึ่งเมฆสีขาวจะสะท้อนแสงได้ดียิ่งขึ้นเมื่ออยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร พื้นที่ที่ได้รับแสงอาทิตย์มากที่สุด ขณะที่ “เมฆสีเทา” ที่จะสะท้อนแสงอาทิตย์ได้น้อยกว่า เช่นเดียวกับเมฆที่อยู่ใกล้ขั้วโลกซึ่งมีแสงตกกระทบน้อยกว่า
การศึกษาใหม่แสดงให้เห็นว่าเมฆสีขาวที่สะท้อนแสงสูงกำลังมีจำนวนลดลง 1.5-3% ในช่วง 24 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเมฆในบริเวณใกล้เส้นศูนย์สูตรที่เรียกว่า “ร่องความกดอากาศต่ำแถบศูนย์สูตร” (Intertropical Convergence Zone : ITCZ ) และบริเวณเส้นทางพายุ ซึ่งอยู่ระหว่างละติจูด 30-40 องศา
ศ.คริสเตียน จาค็อบ แห่งมหาวิทยาลัยโมนาชในออสเตรเลีย หนึ่งในผู้เขียนการศึกษา กล่าวว่าระบบลมหลักกำลังเคลื่อนตัวไปทางขั้วโลก ส่งผลให้เมฆถูกบีบอัดเข้าด้วยกัน
ต่างจากเมฆสีเทาที่สะท้อนแสดงดวงอาทิตย์ได้น้อยกว่า ที่มีอยู่ตลอดเวลากำลังเพิ่มขึ้น นั่นหมายความว่าแสงอาทิตย์สะท้อนถึงพื้นผิวโลกได้มากขึ้น ทำให้เกิดความร้อนเพิ่มขึ้น
“มหาสมุทรเป็นแหล่งกักเก็บพลังงานที่ดีมาก มหาสมุทรดูดซับพลังงานที่ได้มาจากดวงอาทิตย์ และอุณหภูมิผิวน้ำก็สูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อพฤติกรรมของระบบสภาพอากาศ แต่ยังส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาวะโลกร้อนโดยทั่วไปด้วย” ศ.จาค็อบกล่าว
ศ.แมตต์ อิงแลนด์ นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศชั้นนำจากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในงานวิจัย กล่าวว่า “เมฆเป็นองค์ประกอบสำคัญของสมดุลพลังงานของโลก การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ของปริมาณเมฆจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์”
นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศยังคงหาสาเหตุที่เป็นไปได้ต่าง ๆ ในปี 2023-2024 อุณหภูมิโลกสูงเป็นประวัติการณ์ทั้งบนบกและน้ำ บางคนเชื่อว่าเป็นเพราะมาตรการลดมลภาวะจากละอองลอยจากเรือคอนเทนเนอร์ที่เดินทางข้ามมหาสมุทร ตามมาตรฐานเชื้อเพลิงสากลใหม่ที่มีผลบังคับใช้ในปี 2020 กลับทำให้เกิดการระบายความร้อนในชั้นบรรยากาศตอนกลางและตอนบน
สาเหตุอื่น ๆ ที่น่าจะเป็นไปได้ที่อุณหภูมิที่พุ่งสูงอาจเป็นเพราะทรายละเอียดที่พัดผ่านมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือมีจำนวนน้อยลง (ทรายเหล่านี้ช่วยให้อุณหภูมิในพื้นที่ลดลงด้วย) ส่วนอีกปัจจัยหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้อาจมาจาก การระเบิดของภูเขาไฟใต้น้ำฮันกาตองกาฮันกาฮาพายในตองกาเมื่อปี 2022 ส่งผลให้ระดับซัลเฟตที่เป็นอันตรายพ่นออกสู่ชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์ ยิ่งทำให้ก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศเพิ่มมากขึ้น
ศ.จาค็อบกล่าวว่ากุญแจสำคัญประการหนึ่งในการทำความเข้าใจเมฆเหล่านี้ให้ดีขึ้น คือการทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ เพราะเมฆไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเอง แต่เมฆเปลี่ยนไปเพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศทำให้ระบบสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง
ขณะเดียวกัน ศ.จาค็อบยังกล่าวถึงความสำคัญของวิทยาศาสตร์ การศึกษาดังกล่าวอาศัยข้อมูลจากอุปกรณ์ดาวเทียมที่ใกล้จะหมดอายุใช้งานแล้ว ซึ่งเป็นของนาซาและสำนักงานบริหารบรรยากาศและมหาสมุทรแห่งชาติ แต่ในตอนนี้ทั้งสององค์กรถูกรัฐบาลทรัมป์ตัดงบประมาณครั้งใหญ่
“สหรัฐมีส่วนสำคัญมากในการให้ข้อมูลการสังเกตการณ์ที่สำคัญสำหรับวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสภาพอากาศในอดีตผ่านโครงการดาวเทียม แต่ตอนนี้ทัศนคติของรัฐที่มีต่อวิทยาศาสตร์สภาพอากาศกำลังเปลี่ยนไป จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ชุมชนนานาชาติจะต้องหาวิธีรักษาความสามารถในการสังเกตการณ์โลกที่แข็งแกร่ง เพื่อให้การวิจัยที่สำคัญที่รายงานที่นี่สามารถดำเนินต่อไปได้ในขณะที่โลกของเราร้อนขึ้น”
“เป็นเรื่องสำคัญที่เราทุกคนต้องตระหนักว่าสภาพอากาศของเราไม่สนใจว่าผู้คนต้องการให้เป็นอย่างไร แต่ตอบสนองต่อการกระทำของเราเท่านั้น การกำจัดวิทยาศาสตร์ที่แจ้งการกระทำเหล่านั้นเป็นกลยุทธ์ที่อันตราย” ศ.จาค็อบกล่าวทิ้งท้าย
ที่มา: ABC, Earth, The Conversation, The Guardian







