‘ขยะเสื้อผ้า’ กองเต็มทะเลทราย ‘ชิลี’ มองเห็นได้จากนอกโลก รัฐออกกฎหมายควบคุมขยะ

‘ขยะเสื้อผ้า’ กองเต็มทะเลทราย ‘ชิลี’  มองเห็นได้จากนอกโลก รัฐออกกฎหมายควบคุมขยะ

ชิลีควบคุมการนำเข้าสิ่งทอ เพื่อควบคุมการทิ้งเสื้อผ้าเก่าในอาตากามาและส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน หลังเกิดภูเขาเสื้อผ้ามือสองที่มองเห็นได้จากนอกโลก

KEY

POINTS

  • ทะเลทรายอาตากามาในชิลีเผชิญวิกฤตขยะเสื้อผ้ามือสองกองมหึมา ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากภาพถ่ายดาวเทียม
  • ชิลีเป็นหนึ่งในผู้นำเข้ารายใหญ่ของโลกสำหรับเสื้อผ้ามือสอง และเสื้อผ้าที่ขายไม่ออกมักถูกนำไปทิ้งอย่างผิดกฎหมายในทะเลทราย
  • รัฐบาลชิลีได้ออกกฎหมายใหม่ภายใต้หลักการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต (EPR) เพื่อควบคุมปัญหาขยะสิ่งทอ
  • กฎหมายนี้กำหนดให้ผู้นำเข้าและผู้ผลิตต้องรับผิดชอบต่อขยะที่เกิดจากผลิตภัณฑ์สิ่งทอของตน เพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม

พื้นที่บางส่วนของ “ทะเลทรายอาตากามา” ในชิลี ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นบริเวณที่แห้งแล้งที่สุดในโลก เต็มไปด้วย “เสื้อผ้ามือสอง” กองมโหฬารบางกองสูง 5-6 เมตรกระจัดกระจายอยู่บนพื้นทราย ด้วยสภาพสีซีดและขายหลุดลุ่ยจากแสงแดด เช่นเดียวกับราบสูงชายฝั่งเหนือใกล้ชายฝั่งจังหวัดอิคิเกทางตอนเหนือของชิลีมีถุงพลาสติกเต็มไปด้วยเสื้อผ้ามือสองวางจนเกลื่อน ซึ่งหลายถุงก็ถูกทิ้งไว้นานจนอยู่ในสภาพกรอบแกรบเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

ขยะเสื้อผ้ากองพะเนินเทินทึกทอดยาวออกไปจนสามารถมองเห็นได้จากภาพถ่ายดาวเทียม แบรนด์ที่มักพบในกองเสื้อผ้ากลางทะเลทราย ได้แก่ Zara, H&M, Calvin Klein, Levi’s, Wrangler, Nike และ Adidas และมีหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นชุดพยาบาล รองเท้า ชุดเอี๊ยมทำงาน ไปจนถึงเสื้อผ้าฟาสต์แฟชั่นที่ขายไม่ออกจากซีซั่นก่อน โดยหลายชุดยังคงมีป้ายสินค้าติดอยู่ด้วยซ้ำ 

‘ขยะเสื้อผ้า’ กองเต็มทะเลทราย ‘ชิลี’  มองเห็นได้จากนอกโลก รัฐออกกฎหมายควบคุมขยะ

ภาพถ่ายดาวเทียมที่แสดงให้เห็นถึงกองขยะเสื้อผ้าในทะเลทรายอาตากามาของชิลี
เครดิตภาพ: SKYFI

เพื่อแก้ปัญหาขยะสิ่งทอและวิกฤติสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นทะเลทรายอาตากามารัฐบาลชิลีจึงออกมาตรการขั้นเด็ดขาด โดยกระทรวงสิ่งแวดล้อมของชิลีประกาศเพิ่มวัสดุสิ่งทอเป็นสินค้าที่ผู้ผลิตหรือนำเข้าต้องแสดงความรับผิดชอบ ตามกฎหมายหลักการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต (EPR) ซึ่งจะทำให้ผู้นำเข้ามีหน้าที่ต้องรายงานเสื้อผ้าที่นำเข้ามาในประเทศ และจะเพิ่มกฎระเบียบอื่น ๆ เช่น รับผิดชอบต่อขยะที่เกิดจากเสื้อผ้าใช้แล้วจำนวนหลายพันตันที่นำเข้ามาในชิลีทุกปี ลงในร่างกฎหมายเร็ว ๆ นี้

“การรวมสิ่งทอเข้าในกฎหมาย จะช่วยสร้างภาระผูกพันของผู้ผลิต ซึ่งจะไม่สามารถละเลยผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากสิ่งทอที่ไม่ได้ใช้อีกต่อไป การบังคับใช้กฎหมายอย่างประสบความสำเร็จจะช่วยให้เราสามารถแก้ไขปัญหาการขาดการควบคุมสำหรับอุตสาหกรรม ซึ่งก่อให้เกิดขยะปริมาณมหาศาล และส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้คนและสิ่งแวดล้อม” ไมซา โรฮัส รัฐมนตรีกระทรวงสิ่งแวดล้อมของชิลีกล่าว

ตามข้อมูลของรัฐบาล พบว่าสินค้าสิ่งทอที่ขายในชิลีมากกว่า 90% เป็นผ้าที่นำเข้ามาจากสหรัฐยุโรป และส่วนอื่น ๆ ของโลก ทำให้ชิลีเป็นผู้นำเข้าเสื้อผ้ามือสองรายใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกและธุรกิจการค้าเสื้อผ้ามือสองเฟื่องฟู สวนทางกับประเทศอื่น ๆ ห้ามนำเข้าเสื้อผ้ามือสองเพราะกังวลเรื่องสุขอนามัยและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม 

รัฐบาลคำนวณว่าชิลีนำเข้าเสื้อผ้ามือสอง 123,000 ตันทุกปี และเกิดผลกระทบรุนแรงที่สุดในทะเลทรายอาตากามา ทางตอนเหนือของประเทศ และการทิ้งเสื้อผ้าส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมากเนื่องจากมีสารเคมีต่าง ๆ ที่ใช้ในการผลิตเสื้อผ้า

อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ประกาศว่า “โลกเป็นเหยื่อของแฟชั่น” จากการประมาณการของสหประชาชาติแสดงให้เห็นว่า “ทุก ๆ วินาที เสื้อผ้าปริมาณเท่ากับรถบรรทุกขยะ 1 คันถูกเผาหรือส่งไปยังหลุมฝังกลบ”

ตามข้อมูลจาก สภาเศรษฐกิจโลก (WEF) ระบุว่า อุตสาหกรรมแฟชั่นเป็นอุตสาหกรรมที่ก่อมลพิษเป็นอันดับสามของโลก รองจากอาหารและการก่อสร้าง โดยปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 10% ของโลก จากการผลิตเสื้อผ้า 100,000 ล้านชิ้นในแต่ละปี มีเพียง 1% เท่านั้นที่นำมารีไซเคิลเป็นเสื้อผ้าใหม่

เสื้อผ้าจำนวนหลายตันถูกส่งมาที่ท่าเรือปลอดอากรในจังหวัดอิคิเกโดยไม่เสียภาษี มาเป็นกระสอบมัดพลาสติกขนาดใหญ่ ก่อนที่จะตัดกระสอบคัดแยกประเภทโดยแรงงานต่างด้าว สำหรับเสื้อผ้าที่มีคุณภาพสมบูรณ์เหมือนใหม่จะถูกส่งไปขายที่ร้านขายปลีกในท่าเรือปลอดภาษี บางส่วนถูกส่งไปยังเมืองหลวงของชิลี และซานติอาโกเพื่อขายต่อ อีกส่วนถูกมัดไว้และส่งกลับไปขายต่อที่สหรัฐ

สำหรับเสื้อผ้าที่เหลือจะถูกส่งไปยังเมืองอัลโต โฮสปิซิโอ เมืองยากจนทางเหนือจังหวัดอิคิเก เพื่อขายต่อในราคาไม่แพงและนำกลับมาใช้ใหม่อย่างไม่มีวันจบสิ้น ในขณะที่เสื้อผ้าที่ไม่มีใครซื้อมักจะถูกนำไปทิ้งในทะเลทรายอาตากามาโดยไม่ฝังกลบ เพราะชิลีห้ามทิ้งขยะสิ่งทอลงในหลุมฝังกลบตามกฎหมาย เนื่องจากจะทำให้ดินไม่เสถียร

อีกส่วนก็ถูกนำไปเผาทิ้งบนที่ราบสูงนอกเขตอัลโต โฮสปิซิโอ ส่งกลิ่นเหม็นคล้ายพลาสติกไหม้คละคลุ้ง และลมพัดเอาขี้เถ้าสีดำขึ้นมาทั่วบริเวณ ก่อนหน้านี้ในเดือนมิ.ย. 2022 เกิดเหตุไฟไหม้ขยะสิ่งทอครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในภูมิภาค

ชิลีบังคับใช้กฎหมายหลักการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิตตั้งแต่ปี 2017 โดยกำหนดให้ผลิตต้องรับผิดชอบเฉพาะการรีไซเคิลสินค้าในหลายประเภท เช่น ยางรถยนต์ แบตเตอรี่ น้ำมัน และบรรจุภัณฑ์พลาสติก แต่เพิ่งจะเพิ่มสิ่งทอในปี 2025

“สิ่งนี้จะกระตุ้นให้เกิดวัฒนธรรมผู้บริโภครูปแบบใหม่ เนื่องจากบริษัทต่าง ๆ จะต้องให้บริการซ่อมแซม นำกลับมาใช้ใหม่ และรีไซเคิล นับเป็นก้าวสำคัญสู่การเปลี่ยนผ่านจากเศรษฐกิจเชิงเส้นของการผลิต การบริโภค และการกำจัดไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนสำหรับสิ่งทอและเสื้อผ้าในประเทศ” เบียทริซ โอไบรอัน ผู้ประสานงานระดับประเทศขององค์กร Fashion Revolution กล่าว

นอกจากนี้ หน่วยงานท้องถิ่นยังกำหนดโทษปรับเป็นเงิน 180,000 เปโซ (6,300 บาท) สำหรับผู้ที่จับทิ้งขยะลงในทะเลทราย แต่ก็มีการตรวจตราเฉพาะเขตใกล้กับเขตชุมชนที่อยู่อาศัยเท่านั้น และเจ้าหน้าที่ไม่ได้บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ทำให้เกิดการนำเสื้อผ้าไปทิ้งอย่างต่อเนื่อง

การผลิตสิ่งทอทั่วโลกคาดว่าจะเติบโตจาก 109 ล้านตันในปี 2020 เป็น 145 ล้านตันในปี 2030 ส่วนในชิลี ผู้คนใช้สิ่งทอโดยเฉลี่ย 32 กิโลกรัม ก่อให้เกิดขยะสิ่งทอ 572,000 ตันต่อปีในประเทศ 

อีกทั้งเสื้อผ้าส่วนใหญ่ผลิตจาก “โพลีเอสเตอร์” ที่ผ่านกระบวนการทางเคมีหรือมีเส้นใยที่ทำจากพลาสติกจะปล่อยไอพิษออกมา ทำลายดิน ชั้นโอโซน รวมถึงสุขภาพของประชากรในพื้นที่ ทำให้มีไมโครพลาสติกเข้าสู่ร่างกายมากขึ้น

ทั้งนี้ชิลีไม่ใช่ประเทศเดียวที่ประสบปัญหาดังกล่าว กานาและอินเดียเองก็กำลังต่อสู้กับกองเสื้อผ้าที่ทิ้งแล้วจำนวนมากจากต่างประเทศเช่นกัน


ที่มา: AsahiLos Angeles TimesThe GuardianThe Guardian 1TecScience