'วิกฤติภูมิอากาศถล่มบอลข่าน' งานหาย-ชีวิตเปลี่ยน ถึงเวลา 'รับผิดชอบ' สู่การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม

ภัยคุกคามจากสภาพภูมิอากาศ ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่กำลังสั่นคลอนตลาดแรงงานและวิถีชีวิตในบอลข่านตะวันตกอย่างรุนแรง โรงไฟฟ้าถ่านหิน พิษควันรถยนต์ และน้ำท่วมซ้ำซาก กำลังกัดเซาะเศรษฐกิจและความมั่นคงของภูมิภาคนี้
KEY
POINTS
- วิกฤตสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบโดยตรงต่อภูมิภาคบอลข่านตะวันตก ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ มลพิษ และภัยธรรมชาติที่คุกคามวิถีชีวิตและเศรษฐกิจ
- ตลาดแรงงานมีความเสี่ยงสูง โดยเกือบ 3 ล้านตำแหน่งงานอาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว
- การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวเป็นความท้าทายใหญ่หลวง โดยเฉพาะการปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินที่กระทบต่อแรงงานและชุมชนจำนวนมาก
- การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวต้องเป็นไปอย่างยุติธรรม โดยต้องสนับสนุนและสร้างทางเลือกใหม่ให้แก่กลุ่มผู้เปราะบางที่สุด
อิมเร เคอร์เตสซ์ นักเขียนรางวัลโนเบลชาวฮังการี สะท้อนความจริงอันเจ็บปวดที่โลกกำลังเผชิญหน้าในวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคบอลข่านตะวันตก ที่ วิกฤตสภาพภูมิอากาศ กำลังเขียนนิยามใหม่ให้กับตลาดแรงงานและวิถีชีวิตผู้คน
ภาพลวงตาที่อันตรายที่สุดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คือการคิดว่านี่เป็นปัญหาของคนอื่นและจะเกิดขึ้นในอนาคตอันไกลโพ้น แต่ตอนนี้ภาพลวงตานั้นได้แตกสลายลงแล้ว
ในฐานะกรรมาธิการของคณะกรรมาธิการยุโรปเพื่อสุขภาพและการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การอนามัยโลก (WHO’s Pan-European Commission on Health and Sustainable Development) ได้พบว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ได้เป็นเพียงภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพเท่านั้น แต่ยังเป็น ปัจจัยที่ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อตลาดแรงงาน ทั่วทวีปยุโรป โดยเฉพาะในบอลข่านตะวันตก ซึ่ง การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว กำลังปะทะเข้ากับระบบการจ้างงานที่เปราะบาง ทำให้ชีวิตผู้คนตกอยู่ในความเสี่ยง ขณะเดียวกันก็มีทางเลือกใหม่ๆ ให้น้อยเกินไป
ผลกระทบของสภาพภูมิอากาศที่สัมผัสได้จริง
ในภูมิภาคบอลข่านตะวันตก วิกฤตสภาพภูมิอากาศไม่ใช่เรื่องของธารน้ำแข็งที่ละลายในขั้วโลก แต่มันคือเรื่องของ โรงไฟฟ้าถ่านหิน ที่พ่นมลพิษในโคโซโว จนทำให้คนเป็นโรคเรื้อรังและเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากควันรถยนต์เก่าๆ
มันคือเรื่องของ คนงานและเกษตรกรในบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ที่ต้องพลัดถิ่นเพราะน้ำท่วม และต้องดิ้นรนเพื่อสร้างชีวิตและอาชีพใหม่ท่ามกลางความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น
และยังเป็นเรื่องของ ควันจากการเผาขยะและชีวมวล เพื่อทำความร้อนในมาซิโดเนียเหนือ ซึ่งภูมิประเทศที่ล้อมรอบหุบเขาทำให้มลพิษถูกกักเก็บไว้ ทำให้กรุงสโกเปียกลายเป็นหนึ่งในเมืองหลวงที่มีมลพิษมากที่สุดในยุโรป
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในบอลข่าน เช่นเดียวกับในส่วนอื่นๆ ของยุโรป ไม่ได้เป็นนามธรรมอีกต่อไป แต่มันคือ ปัจจัยที่เข้ามาสร้างความปั่นป่วนในชีวิตประจำวัน คุกคามสุขภาพ บ่อนทำลายงาน ทำให้ความเหลื่อมล้ำลึกซึ้งขึ้น และบั่นทอนความยืดหยุ่นของเศรษฐกิจที่เปราะบางที่สุดบางแห่งในยุโรป
ภูมิภาคนี้กำลังเผชิญกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะต้องเป็นผู้นำในการหาทางออก แม้การถกเถียงด้านนโยบายมักจะวนเวียนอยู่กับเรื่องของเมกะวัตต์และการกำหนดราคาคาร์บอน แต่ก็มี ปัญหาใหม่ที่กำลังก่อตัวขึ้นในตลาดแรงงาน โดยมี เกือบ 3 ล้านตำแหน่งงานในบอลข่านตะวันตก ที่มีความเสี่ยงโดยตรงจากผลกระทบจากสภาพอากาศ หรือมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว ตัวเลขเหล่านี้ชวนให้ต้องครุ่นคิดอย่างจริงจัง
คาดการณ์ว่าประเทศในภูมิภาคนี้อาจสูญเสีย ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) สูงถึง 16% เนื่องมาจากผลกระทบของสภาพอากาศที่รุนแรง
นี่ไม่ใช่แค่สถิติ แต่เป็นเรื่องของ คนงานเหมืองถ่านหินในบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ที่ไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เกษตรกรในแอลเบเนีย ที่เฝ้าดูที่ดินของตัวเองจมอยู่ใต้น้ำท่วม และ เยาวชนที่ยังไม่ได้เข้าสู่ตลาดแรงงาน แต่รู้สึกถูกกีดกันอยู่แล้ว
ราคาของการไม่ลงมือทำ
ในปี 2557 เพียงปีเดียว น้ำท่วมได้ทำลาย งานมากกว่า 51,000 ตำแหน่ง น้ำท่วมในปี 2567 ในบอสเนียทำให้ กว่า 1,000 ครัวเรือนต้องพลัดถิ่น และบังคับให้ธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งดำเนินงานด้วยกำไรที่จำกัดอยู่แล้ว ต้องปิดตัวลง
แนวชายฝั่งของมอนเตเนโกร ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจการท่องเที่ยว กำลังเผชิญกับภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นจากไฟป่าและการกัดเซาะ ในมาซิโดเนียเหนือและโคโซโว คลื่นความร้อนที่เกิดขึ้นบ่อยขึ้นทำให้การทำงานในภาคชนบทและการก่อสร้างยากขึ้นและอันตรายยิ่งขึ้น ในแอลเบเนีย
ซึ่งภาคเกษตรกรรมยังคงจ้างงานมากกว่าหนึ่งในสามของประชากร พืชผล 15,000 เฮกตาร์ ต้องสูญเสียไปในการเกิดน้ำท่วมครั้งเดียวในปี 2560 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ได้ส่งผลกระทบต่อทุกคนเท่ากัน แต่จะ ส่งผลกระทบต่อผู้ที่เปราะบางที่สุดก่อน และรุนแรงที่สุดเราจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว แต่การออกแบบและจัดการการเปลี่ยนผ่านนี้จะเป็นตัวกำหนดว่ามันจะนำมาซึ่งความยืดหยุ่น หรือความไม่มั่นคงใหม่ๆ
ทั่วทั้งภูมิภาคบอลข่านตะวันตก โรงไฟฟ้าถ่านหินสีน้ำตาล 16 แห่งยังคงเปิดดำเนินการอยู่ ทั้งล้าสมัยและก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม การปิดโรงไฟฟ้าเหล่านี้ไม่ใช่แค่ความจำเป็นด้านสภาพภูมิอากาศเท่านั้น แต่ยังเป็น แผ่นดินไหวทางสังคมและการเมือง ด้วย
ในเซอร์เบียและบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาเพียงสองประเทศ มี งานที่เกี่ยวข้องกับถ่านหินกว่า 29,000 ตำแหน่งที่มีความเสี่ยงชุมชนเหล่านี้จำนวนมากถูกสร้างขึ้นรอบอุตสาหกรรมเดียว หากไม่มีแผน พวกเขาจะไม่เพียงแค่ตกงาน แต่จะ สูญเสียอนาคตไปด้วย
และในขณะที่เงินทุนจากสหภาพยุโรปได้ให้การสนับสนุนโครงการสีเขียวที่สำคัญ 21 โครงการ และระดมเงินได้ 6.8 พันล้านยูโร แต่ ต้นทุนของการเปลี่ยนผ่าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการเงิน สถาบัน หรือสังคม ยังคงเกินขีดความสามารถของภูมิภาคอย่างมาก
ก้าวไปข้างหน้าด้วยความยุติธรรม
ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการรื้อถอนโรงไฟฟ้าถ่านหินสีน้ำตาลในบอลข่านตะวันตกอยู่ระหว่าง 2.5 ล้านยูโรถึง 12 ล้านยูโร โรงไฟฟ้าอย่าง Tuzla ในบอสเนีย ซึ่งมีอายุ 60 ปี และเป็นหนึ่งในโรงไฟฟ้าที่ก่อมลพิษสูงสุดในยุโรป ยังคงเปิดดำเนินการอยู่โดยไม่มีแผนที่ชัดเจน โคโซโว ซึ่งประชากรวัยทำงานกว่าครึ่งหนึ่งไม่ได้ทำงาน กำลังเผชิญกับความท้าทายที่ยากที่สุด: แรงงานมากถึง 17% จะต้องเปลี่ยนหน้าที่การงานเนื่องจากการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว แรงงานเหล่านี้ไม่ต้องการเพียงแค่คำพูดสวยหรู แต่พวกเขาต้องการ การฝึกอบรม การคุ้มครอง และเส้นทางใหม่ๆ
เมื่อภัยพิบัติทางสภาพอากาศเข้าโจมตีและผู้คนรู้สึกถูกทอดทิ้ง ความเชื่อมั่นจะพังทลาย เมื่อการเปลี่ยนผ่านถูกนำมาใช้โดยไม่มีทางเลือกที่ชัดเจน ความไม่พอใจก็จะเพิ่มขึ้น และเมื่อมีเพียงผู้มีอิทธิพลเท่านั้นที่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลง ความเหลื่อมล้ำก็จะลึกซึ้งและแข็งกระด้างขึ้น
หากภูมิภาคนี้ และยุโรป ต้องการก้าวไปข้างหน้า การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวจะต้องได้รับการจัดการอย่างยุติธรรม คำถามที่แท้จริงไม่ใช่ว่าเราจะเปลี่ยนผ่านสู่สีเขียวหรือไม่ แต่เป็น เราจะพาคนทุกคนไปด้วยกัน หรือจะทิ้งผู้ที่เปราะบางที่สุดไว้ข้างหลัง
ที่มา : Regional Cooperation Council (RCC)







