'เที่ยวไทยคนละครึ่ง' พลังเงียบที่พลักดัน ESG สู่ชุมชน ไม่มองข้ามเมืองรอง

'เที่ยวไทยคนละครึ่ง' พลังเงียบที่พลักดัน ESG สู่ชุมชน ไม่มองข้ามเมืองรอง

โครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ปี 2568 แม้ไม่ได้เน้นเรื่อง ESG หรือ SDGs โดยตรง แต่มีบทบาทต่อแนวทางการท่องเที่ยวยั่งยืนของประเทศในภาพรวม บทบาทของ ททท. (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) วางรากฐานความยั่งยืนควบคู่กับโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการ “Village to the World” ปีที่ 4

KEY

POINTS

  • โครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ปี 2568 แม้ไม่ได้เน้นเรื่อง ESG หรือ SDGs โดยตรง แต่มีบทบาทต่อแนวทางการท่องเที่ยวยั่งยืนของประเทศในภาพรวม
  • บทบาทของ ททท. (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) วางรากฐานความยั่งยืนควบคู่กับโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการ “Village to the World” ปีที่ 4
  • ชุมชนคือแหล่งสร้างเนื้อหาและคุณค่าใหม่ให้กับการท่องเที่ยว มีบทบาทในการดูแลสิ่งแวดล้อม
  • ต้องร่วมเป็นพันธมิตรกับตลาดทุนและธุรกิจเพื่อพัฒนาอย่างมั่นคง

ในยุคที่การท่องเที่ยวไม่ได้เป็นเพียงแค่การพักผ่อนหย่อนใจ แต่กลายเป็นเครื่องมือในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ที่กลับมาอีกครั้งในปี 2568 ถือเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น และสร้างความตระหนักรู้ต่อการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ

แม้หลายคนอาจมองว่าโครงการนี้เป็นเพียงนโยบายกระตุ้นการจับจ่ายชั่วคราว แต่ในมุมมองของผู้เขียนเห็นว่า เที่ยวไทยคนละครึ่งคือก้าวเล็กๆ ที่มีพลังมหาศาลในการพาผู้คนออกไปค้นพบ “เมืองรอง” และเสน่ห์ของชุมชนท้องถิ่น โดยให้สิทธิส่วนลดสำหรับค่าที่พักในเมืองหลัก 3 สิทธิ์ และเมืองรอง 2 สิทธิ์ ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่พยายามผลักดันเมืองรองให้กลายเป็นปลายทางท่องเที่ยวใหม่ๆ เพื่อกระจายรายได้อย่างทั่วถึง


 

มีการคาดว่าโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งปีนี้จะช่วยสร้างรายได้หมุนเวียนทางการท่องเที่ยวประมาณ 35,033 ล้านบาท และมีผู้ประกอบการสมัครเข้าร่วมโครงการฯ แล้วกว่า 34,000 ราย แม้จะไม่มีการแยกตัวเลขเฉพาะสำหรับเมืองรองโดยตรง แต่ด้วยเงื่อนไขของโครงการที่ส่งเสริมให้เดินทางสู่เมืองรองประกอบกับยอดเงินหมุนเวียนที่สูงระดับนี้ ย่อมสะท้อนให้เห็นว่า โครงการมีอิทธิพลเชิงบวกอย่างมากต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น และสร้างแรงผลักดันให้เกิดการกระจายรายได้ที่เป็นรูปธรรม

ที่ผ่านมา การท่องเที่ยวชุมชนหลายพื้นที่ยังถูกจัดอยู่ในกลุ่ม ‘Hidden Gem’ หรือเมืองท่องเที่ยวรอง ซึ่งยังมีสัดส่วนรายได้ราว 20 กว่าเปอร์เซ็นต์ ของรายได้รวมจากการท่องเที่ยว แต่ประเทศไทยกำลังพยายามผลักดันให้เกิดสมดุลมากขึ้น โดยตั้งเป้าให้รายได้จากการท่องเที่ยวชุมชนอยู่ในอัตราส่วน 30:70 เมื่อเทียบกับเมืองหลัก หากมีการขับเคลื่อนอย่างจริงจังตั้งแต่ปีนี้ ก็มีโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายภายในเวลาไม่กี่ปีข้างหน้า

แม้ว่า “โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง” จะไม่ได้ระบุว่าเกี่ยวข้องกับ ESG หรือแนวทาง Sustainable Agenda โดยตรง แต่เราจะเห็นว่า ททท. ได้วางรากฐานเรื่องความยั่งยืนควบคู่กันมาอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือ โครงการ “Village to the World” ปีที่ 4 ที่ดำเนินการควบคู่กัน โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบให้เติบโตบนพื้นฐานของวัฒนธรรมท้องถิ่น ภูมิปัญญาชาวบ้าน และแนวทาง SDGs

ที่ ททท. ชวนภาคเอกชนและบริษัทจดทะเบียน (บจ.) เข้ามาร่วมขับเคลื่อนงานด้านความยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “ESG Partnership for Impact” ซึ่งรวมถึงการสนับสนุนและพัฒนาชุมชนอย่างเป็นระบบ เช่น พัฒนาระบบจัดการขยะหรือการใช้พลังงานสะอาด ส่งเสริมผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นให้เข้าถึงตลาดใหม่ เพิ่มขีดความสามารถด้านการบริหารจัดการธุรกิจ และเชื่อมโยงองค์ความรู้และเทคโนโลยีจากองค์กรใหญ่สู่ท้องถิ่น

สิ่งสำคัญของความสำเร็จอย่างยั่งยืนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยคือ ความสามารถในการพิสูจน์และต่อยอดได้จริง ซึ่งในมิตินี้ “ชุมชน” (People) คือแหล่งสร้างเนื้อหา เรื่องราว และคุณค่าใหม่ของการเดินทาง ชุมชนยังเป็นส่วนสำคัญในการเชื่อมโยงชีวิตกับธรรมชาติและการดูแลสิ่งแวดล้อม (Planet) และสุดท้ายคือการสร้างพันธมิตร (Partnership) ที่ชุมชนต้องสามารถเดินเคียงข้างกับตลาดทุนและภาคธุรกิจ เพื่อเสริมสร้างธุรกิจการท่องเที่ยวในรูปแบบใหม่ที่แข็งแรงและยั่งยืน

เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ปี 2568 จึงไม่ใช่เพียงแค่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอว์ที่เชื่อมต่อกับภาพใหญ่ของการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในระดับประเทศ ที่เน้นให้ “คนท้องถิ่น” ไม่ได้แค่เป็น “เจ้าบ้าน” ที่ต้อนรับ แต่กลายเป็น “เจ้าของอนาคต” ของการท่องเที่ยวไทยอย่างแท้จริง