ระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) & EV จิ๊กซอว์สำคัญระบบพลังงานสะอาดไทย

การไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 และบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2065 ของไทยให้ได้ตามเป้าหมายนั้น ไม่อาจอาศัยเพียงการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดเพียงอย่างเดียว
แต่ต้องเสริมด้วยเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และเสถียรภาพในการใช้พลังงาน
สองเทคโนโลยีที่ทั่วโลกกำลังจับตามอง และมีศักยภาพจะเข้ามาเปลี่ยนสมการพลังงานในอนาคต ได้แก่ ระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งหากสามารถผสานเข้ากับระบบพลังงานได้อย่างเหมาะสมจะกลายเป็น “จิ๊กซอว์” สำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดที่ยั่งยืนของไทย
ในขณะเดียวกัน หากไม่เร่งบูรณาการ ESS และ EV เข้ากับระบบไฟฟ้า ไทยอาจเผชิญความเสี่ยงด้านเสถียรภาพ เมื่อสัดส่วนพลังงานสะอาดเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต รวมถึงพลาดโอกาสดึงดูดการลงทุนจากอุตสาหกรรมที่ต้องการพลังงานสะอาดอย่างต่อเนื่อง เช่น Data Center
ESS: เทคโนโลยีเสริมเสถียรภาพพลังงานสะอาด
ESS เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีสำคัญของการผลิตพลังงานสะอาดแบบไฮบริด (การใช้งาน ESS ร่วมกับพลังงานสะอาดมากกว่า 1 ประเภท) โดยมีบทบาทในการรักษาเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า ผ่านการกักเก็บพลังงานส่วนเกินในช่วงที่พลังงานสะอาดผลิตได้มาก และจ่ายกลับเข้าสู่ระบบในช่วงที่ความต้องการสูงหรือแหล่งผลิตไม่สามารถจ่ายไฟได้
นอกจากนี้ ESS ยังช่วยควบคุมความถี่ของระบบไฟฟ้า และลดภาระของระบบในช่วงพีค ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในระดับโลก ESS กำลังก้าวขึ้นมาเป็นโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของระบบไฟฟ้าพลังงานสะอาด โดยในปี 2024 ตลาด ESS มีอัตราการขยายตัวกว่า 20% โดยเฉพาะในระบบโครงข่ายไฟฟ้า
ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของหลายประเทศที่เริ่มกำหนดให้โครงการพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมต้องติดตั้ง ESS ควบคู่กัน เช่น จีนที่กำหนดสัดส่วนการติดตั้ง ESS ไว้ที่ 10-30% ของขนาดโครงการ
จุดเปลี่ยนสำคัญอยู่ที่ราคาของแบตเตอรี่ที่ลดลงมากกว่า 7 เท่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ในปี 2025 โครงการพลังงานสะอาดที่รวม ESS จะเริ่มสามารถแข่งขันด้านต้นทุนกับพลังงานก๊าซได้ ทั้งในระดับโครงข่าย และระดับครัวเรือน
ในทางกลับกัน ESS ในประเทศไทยยังมีบทบาทค่อนข้างจำกัด และยังไม่ถูกรวมเข้ากับระบบโครงข่ายหลัก แม้ในร่างแผน PDP2024 จะเริ่มกล่าวถึง ESS แต่กลับวางแผนใช้งานจริงในปี 2032 ซึ่งถือว่าค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับความจำเป็นเร่งด่วน และต้นทุนของระบบ ESS ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
หากไทยต้องการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดให้เกินกว่า 50% ตามร่างแผน PDP 2024 อย่างมั่นคง ESS จะไม่ใช่แค่เทคโนโลยีเสริม แต่ต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของ “โครงสร้างหลัก” ที่รองรับการเปลี่ยนผ่านของระบบไฟฟ้าทั้งระบบ
EV: ภาคขนส่งสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านพลังงาน
EV ไม่เพียงมีบทบาทในการลดการปล่อยคาร์บอนจากภาคขนส่งโดยตรง แต่ยังสามารถเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดในระบบไฟฟ้าเมื่อมีการชาร์จด้วยไฟฟ้าพลังงานสะอาด และสามารถบริหารโหลดให้สอดคล้องกับช่วงเวลาที่พลังงานสะอาดผลิตได้มาก ซึ่งจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับระบบโดยรวม
ในระดับโลก ยอดขาย EV เพิ่มขึ้นกว่า 50% ในปี 2024 สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของภาคขนส่ง โดยเฉพาะประเทศผู้นำอย่างจีน สหภาพยุโรป และสหรัฐฯ
ขณะที่ประเทศไทยได้กำหนดเป้าหมายสำคัญผ่านแผน “30@30” ที่ตั้งเป้าหมายให้ 30% ของการผลิตยานยนต์ในประเทศเป็น EV ภายในปี 2030 พร้อมมาตรการสนับสนุนอย่าง EV 3.0 และ 3.5 ส่งผลให้ยอดการผลิต EV ในไทยเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 2 แสนคันในปี 2024
อย่างไรก็ตาม การเติบโตของ EV มาพร้อมกับความท้าทายใหม่ต่อระบบไฟฟ้า ทั้งจากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในบางช่วงเวลา และความเพียงพอของสถานีชาร์จ ดังนั้น ถ้าไม่มีการจัดการที่เหมาะสม EV อาจกลายเป็น “ภาระ” มากกว่า “ประโยชน์”
ที่สำคัญ หากพลังงานที่ใช้ชาร์จยังคงมาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล การเปลี่ยนมาใช้ EV ก็อาจไม่สามารถช่วยให้ประเทศบรรลุเป้าหมายด้านภูมิอากาศได้อย่างแท้จริง
อีกด้านหนึ่ง หากมีการวางแผนใช้งานควบคู่กับเทคโนโลยีเสริม เช่น Smart Charging จะช่วยให้สามารถชาร์จ EV ในช่วงที่มีพลังงานสะอาดส่วนเกินได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
และในอนาคตนั้นเทคโนโลยี Vehicle-to-Grid (V2G) ยังเปิดโอกาสให้ EV ทำหน้าที่เสมือน ESS เคลื่อนที่ที่สามารถจ่ายไฟกลับเข้าสู่ระบบในช่วงพีค หรือยามฉุกเฉินได้
ดังนั้น การเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดให้เพียงพอ ควบคู่กับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ EV อย่างครอบคลุม และการส่งเสริมเทคโนโลยีเสริมอย่าง Smart Charging และ V2G จึงเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้ EV กลายเป็นกลไกสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านพลังงานได้อย่างเต็มศักยภาพ
โจทย์ใหญ่ของ PDP ฉบับใหม่: โอกาสสำคัญของอนาคตพลังงานสะอาดไทย?
แม้การทบทวนแผน PDP2024 จะถูกมองว่าเป็นความล่าช้าในการกำหนดทิศทางพลังงานของประเทศ แต่อีกด้านหนึ่ง นี่อาจเป็นโอกาสสำคัญในการ “รีเซ็ต” แนวทางการวางแผนพลังงานของไทย ให้สอดคล้องกับบริบทโลกและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงบทบาทของ ESS และ EV ที่มีมากขึ้น ดังนั้น เพื่อให้การบูรณาการ ESS และ EV เกิดผลอย่างแท้จริง ไทยควรดำเนินการใน 2 ด้านหลัก คือ
1. วางแผนพลังงานให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการใช้ไฟฟ้า: PDP ควรสะท้อนถึงรูปแบบการใช้ไฟฟ้าที่เปลี่ยนไปจากการเข้ามาของพลังงานสะอาดควบคู่กับ ESS และ EV ในบริบทของ “ไฟฟ้าพลังงานสะอาดแบบไฮบริด” พร้อมเร่งบรรจุเป้าหมาย ESS ให้เร็วกว่าปี 2032
และพัฒนา Smart Grid เพื่อเพิ่มเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าในระยะยาว และ 2. ปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อเทคโนโลยีใหม่ เพื่อให้สามารถรองรับการใช้งานเทคโนโลยีอย่าง ESS EV และ V2G ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การขับเคลื่อนอนาคตพลังงานสะอาดของประเทศไทย ไม่อาจอาศัยเพียงการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดเท่านั้น แต่ต้องมีกลไกสนับสนุนที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและเสถียรภาพให้กับระบบโดยรวม
โดยเฉพาะบทบาทของ ESS และ EV ที่ควรถูกยกระดับจาก “เทคโนโลยีเสริม” ไปสู่ “โครงสร้างพื้นฐานหลัก” ของระบบพลังงานแห่งอนาคต
การวางแผนและลงทุนอย่างเป็นระบบในทั้งสองเทคโนโลยีนี้ ไม่เพียงช่วยลดการปล่อยคาร์บอน แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการออกแบบระบบพลังงานที่พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลง มีความมั่นคง และยั่งยืน
บทความชิ้นนี้จัดทำภายใต้โครงการหลักสูตรผู้นํานโยบายด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนพัฒนาไฟฟ้า สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน พ.ศ. 2567
คอลัมน์ วาระทีดีอาร์ไอ
ดร. อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์
อรรณพ แจ้วิสอน
กรณ์ อำนวยพาณิชย์
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย







