‘น้ำท่วมเท็กซัส’ เกิดจากภาวะโลกร้อน พยากรณ์ยาก เกิดบ่อย รุนแรงกว่าเดิม

อุทกภัยร้ายแรงได้สร้างความหายนะให้กับรัฐเท็กซัส ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศทำให้ภัยพิบัติประเภทนี้คาดเดาได้ยากขึ้น
KEY
POINTS
- ภาวะโลกร้อนทำให้อากาศอุ่นขึ้นและกักเก็บความชื้นได้มากขึ้น ส่งผลให้ฝนตกหนักและเกิดพายุที่รุนแรงกว่าในอดีต
- การพยากรณ์ตำแหน่ง ปริมาณ และเวลาที่ฝนจะตกอย่างแม่นยำยังคงเป็นเรื่องยาก ทำให้การรับมือทำได้จำกัด
- ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจทำให้พายุรุนแรงระดับ "100 ปีมีครั้ง" เกิดขึ้นบ่อยจนกลายเป็นทุก 10 ปี
- อุณหภูมิที่สูงขึ้นของอ่าวเม็กซิโกเป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มการระเหยและความชื้นในบรรยากาศ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงให้พายุรุนแรงขึ้น
"น้ำท่วมเท็กซัส" น้ำท่วมฉับพลันครั้งใหญ่ทางตอนกลางในรัฐเท็กซัส ของสหรัฐ เมื่อสุดสัปดาห์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 80 ราย ยังคงสูญหายอีกหลายสิบราย และชุมชนบางส่วนยังจมอยู่ใต้น้ำ โดยเจ้าหน้าที่เรียกเหตุการณ์ในครั้งนี้ว่าเป็น “อุทกภัยที่รุนแรงที่สุดในรอบ 100 ปี”
บริเวณฮิลล์คันทรี พื้นที่ที่มีเนินเขาหิน ที่ราบ และหุบเขา ระหว่างเมืองซานอันโตนิโอและออสติน เจอกับฝนตกหนักจากพายุที่เคลื่อนตัวช้า จนทำให้น้ำล้นริมชายฝั่ง เข้าท่วมเมือง อย่างรวดเร็วจนหลายเมืองไม่สามารถรับมือได้ทัน
กลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือเด็ก ๆ ที่ไปค่ายฤดูร้อนริมฝั่งแม่น้ำกัวดาลูเป ที่ระดับน้ำขึ้นสูงอย่างรวดเร็วในช่วงก่อนรุ่งสางโดยแทบไม่มีการเตือนล่วงหน้า ทำให้เด็ก ๆ อย่างน้อย 10 คนและผู้ดูแลยังคงสูญหาย
เครดิตภาพ: REUTERS/Sergio Flores
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้พายุรุนแรงมากขึ้น
ภาคกลางของรัฐเท็กซัส ถูกขนานนามว่าเป็น “พื้นที่น้ำท่วมฉับพลัน” เนื่องจากปัจจัยหลายอย่างที่เอื้ออำนวย ไม่ว่าจะเป็นภูมิประเทศที่ลาดชัน ความชื้นในเขตร้อน และพายุที่เคลื่อนตัวช้า โดยเฉพาะในเดือนกรกฎาคม แต่นักอุตุนิยมวิทยาระบุว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ปรกติ
ตามรายงานของบริษัทพยากรณ์อากาศ AccuWeather ระบุว่า ปริมาณฝนที่ตกในสัปดาห์ที่ผ่านมามากกว่าปรกติ เมื่อวันศุกร์ที่เมืองเคอร์วิลล์ มีฝนตกมากกว่า 25 ซม. ในเวลาเพียง 3 ชั่วโมง ส่วนในวันศุกร์พายุทำให้เมืองออสตินมีฝนตกหนักเกือบ 35 ซม. ในเวลาเพียง 5 ชั่วโมง
ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงในเมืองฮันท์ แม่น้ำกัวดาลูเปเพิ่มสูงขึ้นจากประมาณ 2 เมตรเป็นเกือบ 9 เมตร ซึ่งถือเป็นระดับน้ำสูงสุดเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ ตามรายงานของกรมอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติ (NWS)
เครดิตภาพ: U.S. Coast Guard/Handout via REUTERS
เป็นเวลาหลายปีที่นักวิทยาศาสตร์ได้ส่งสัญญาณเตือนว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังทำให้เหตุการณ์สภาพอากาศเลวร้ายรุนแรงขึ้น รวมถึงน้ำท่วมฉับพลันทั่วโลก
การศึกษาวิจัยยังคงแสดงให้เห็นว่ามหาสมุทรที่อุ่นขึ้นและบรรยากาศที่ชื้นกว่าเดิมเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ที่ทำให้ห้เกิดพายุที่รุนแรงและบ่อยครั้งมากขึ้นทุกที่ทั่วโลก ฝนตกที่มากเป็นประวัติการณ์ในกรีซ เมื่อเดือนมี.ค. 2025 และเหตุการณ์น้ำท่วมในเท็กซัสครั้งล่าสุด เป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างดี
แอนดรูว์ เดสสเลอร์ ศาสตราจารย์ด้านบรรยากาศและผู้อำนวยการศูนย์สภาพอากาศเลวร้ายแห่งเท็กซัสแห่งมหาวิทยาลัยเท็กซัสเอแอนด์เอ็ม กล่าวว่า สาเหตุหลักของฝนตกหนักมาจากอากาศที่อุ่นขึ้น เนื่องจากอากาศอุ่นสามารถกักเก็บน้ำไว้มากขึ้น ดังนั้น เมื่ออากาศชื้นอุ่น ๆ เหล่านี้ไหลเข้าไปในพายุ และเริ่มลอยขึ้นเป็นพายุฝนฟ้าคะนอง น้ำทั้งหมดก็จะถูกบีบออก
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อ่าวเม็กซิโกซึ่งอยู่ติดกับรัฐเท็กซัสมีอุณหภูมิอุ่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลให้มีน้ำที่อุ่นขึ้นมาก ทำให้เกิดการระเหยจำนวนมาก ปล่อยความชื้นจากเขตร้อนสู่บรรยากาศมากกว่าที่เคยพบเห็นในอดีต
“อากาศชื้นจะถูกบังคับให้ลอยขึ้นเมื่อลอยขึ้นตามลักษณะภูมิประเทศ ดังนั้น อากาศจึงเย็นลงและควบแน่นเป็นเมฆเมื่อบรรยากาศเอื้อต่อการเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง” สเวนกล่าวว่า
ขณะที่ เบรตต์ แอนเดอร์สัน นักอุตุนิยมวิทยาอาวุโสของ AccuWeather เปิดเผยกับ AP ว่า “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้บรรยากาศอบอุ่นขึ้น บรรยากาศที่อบอุ่นขึ้นทำให้มีความชื้นมากขึ้น และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราเห็นความชื้นในบรรยากาศทั่วโลกเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”
เครดิตภาพ: REUTERS/Sergio Flores
ตามปรกติแล้ว กรมอุตุนิยมวิทยาในเท็กซัสออกคำเตือนหลายฉบับในช่วชก่อนที่จะเกิดน้ำท่วม รวมถึงมีการแจ้งเตือนทางโทรศัพท์มือถือกรณีที่มีน้ำท่วมฉับพลัน ซึ่งเกิดไม่บ่อยนัก แต่การคาดการณ์ว่าจะฝนตกที่ไหน เมื่อไร และปริมาณเท่าใดยังคงเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะเมื่อพายุเคลื่อนตัวช้า และปริมาณน้ำฝนอาจแตกต่างกันอย่างมากในพื้นที่ใกล้เคียงกัน อีกทั้งการขาดแคลนเจ้าหน้าที่และการลดการลงทุนในระบบพยากรณ์อากาศอาจทำให้ปัญหาทวีความรุนแรงขึ้น
ตั้งแต่โดนัลด์ ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งในเดือนม.ค. ได้ลดเจ้าหน้าที่ของกรมอุตุนิยมวิทยาลดลงไปแล้ว 40% ส่งผลกระทบต่อกรมอุตุนิยมวิทยาทั่วประเทศ ในตอนนี้จำเป็นต้องยกเลิกหรือลดการปล่อยบอลลูนตรวจอากาศที่สำคัญใน 8 แห่งของสหรัฐ ทั้งที่กำลังจะเข้าฤดูพายุ
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่าการตัดงบประมาณส่งผลกระทบต่อสำนักงาน NWS สาขานิวบราวน์เฟลส์ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่เมืองออสติน ซานอันโตนิโอ และพื้นที่ใกล้เคียง มากน้อยอย่างไร แต่มีรายงานว่าสำนักงานได้เพิ่มเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ระหว่างเกิดพายุในช่วงสุดสัปดาห์
รัฐเท็กซัสเคยประสบปัญหาอุทกภัยมาบ้างแล้ว แต่ในครั้งนี้รุนแรงมาก และแสดงให้เห็นว่าในอนาคตมีแนวโน้มที่จะเจอฝนตกหนักขึ้น คาดเดาได้ยากขึ้น และอันตรายมากขึ้น
เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังคงส่งผลต่อรูปแบบสภาพอากาศ อาจทำให้พายุที่รุนแรงในระดับ 100 ปีมีครั้ง มีบ่อยขึ้นจนกลายเป็นทุก 10 ปี ดังนั้นโลกอาจจำเป็นต้องมีการปรับปรุงระบบพยากรณ์อากาศให้ดียิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่มนุษย์ยังคงใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลต่อไป สถานการณ์ภัยพิบัติจะไม่ดีขึ้น มีแต่จะแย่ลง เราจึงทำได้แค่หาทางป้องกันไม่ให้ภัยพิบัติเหล่านี้รุนแรงกว่าเดิม นอกจากผู้นำทั่วโลกจะให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลลง





