“กองทุนสิ่งแวดล้อมโลก”ส่ง1.3 พันล้าน เพื่อป่าดิบในอาเซียน-แปซิฟิก

“กองทุนสิ่งแวดล้อมโลก”ส่ง1.3 พันล้าน     เพื่อป่าดิบในอาเซียน-แปซิฟิก

ระบบชีวนิเวศป่าอินโด-มลายาซึ่งทอดยาวจากภูฏานไปจนถึงปาปัวนิวกินี และครอบคลุมประเทศไทย เป็นแหล่งพื้นที่ป่าดิบที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก

เป็นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตที่ใกล้สูญพันธุ์มากกว่า 5,000 สายพันธุ์ พืชพรรณดั้งเดิมในพื้นที่สูญหายไปแล้ว 60% และป่าดิบที่เหลืออยู่ได้รับแรงกดดันจากการเกษตรที่ขาดความยั่งยืน การตัดไม้ และความต้องการการใช้ที่ดินในหลายด้าน

ประชากรมากกว่า 560 ล้านคนในภูมิภาคนี้ต้องพึ่งพาทรัพยากรจากป่า เช่น การบริหารน้ำ การกักเก็บคาร์บอน และผลิตภัณฑ์ทั้งเป็นไม้และไม่ใช่ไม้เพื่อรักษาความสมบูรณ์ของป่าดิบเหล่านี้ กองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (GEF) จึงได้เปิดตัวโครงการบูรณาการป่าไม้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกเพื่อให้รักษาความหลากหลายทางชีวภาพ สภาพภูมิอากาศ และการดำรงชีพ

โครงการนี้จะดำเนินการโดยสหภาพระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) และองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) โดยมีการประชุมเชิงปฏิบัติการเบื้องต้นที่เชียงใหม่ ซึ่งจัดขึ้นโดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย

โครงการได้รับเงินช่วยเหลือจัดสรรจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก 1.35 พันล้านบาท (42.4 ล้านดอลลาร์) และเงินร่วมทุน 6 พันล้านบาท (185 ล้านดอลลาร์) ให้แก่ 3 ประเทศได้แก่ สปป.ลาว ปาปัวนิวกินี และไทย และการประสานงานระดับภูมิภาคที่มุ่งปกป้องป่าดิบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก มีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงการจัดการพื้นที่คุ้มครอง 32,000 ตารางกิโลเมตร และพื้นที่ภูมิทัศน์มากกว่า 70,000 ตารางกิโลเมตร ฟื้นฟูระบบนิเวศที่เสื่อมโทรม 85 ตารางกิโลเมตร ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 34 ล้านตัน และสร้างผลประโยชน์ต่อประชาชนเกือบ 20,000 คน

โครงการระดับประเทศนี้จะดำเนินการโดย FAO และ ร่วมกับกระทรวงเกษตรและป่าไม้ของ สปป.ลาว สำนักงานอนุรักษ์และปกป้องสิ่งแวดล้อมของปาปัวนิวกินี และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย

ส่วนโครงการประสานงานระดับภูมิภาคซึ่งนำโดย IUCN และ FAO ร่วมกับพันธมิตร เช่น CIFOR-ICRAF และ Grow Asia ซึ่งจะนำประเทศต่างๆ ทั่วภูมิภาคมารวมกันเพื่อปรับกลยุทธ์ แบ่งปันความรู้และประสบการณ์จริง และเร่งดำเนินการประสานงานทั่วทั้งระบบชีวนิเวศประเทศต่างๆ ในภูมิภาค ได้แก่ ภูฏาน กัมพูชา อินโดนีเซีย สปป.ลาว ปาปัวนิวกินี ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม ได้เข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการ และพัฒนาเป้าหมายและกลไกการประสานงานของโครงการ และได้ตกลงกันเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่สำคัญที่โครงการซี่งมีระยะเวลา 6 ปี รวมถึงวิสัยทัศน์ระดับภูมิภาคเกี่ยวกับป่าดิบ การหารือเพื่อการลงทุนในป่าดิบ และศูนย์ความรู้และการเรียนรู้

โครงการนี้จะสนับสนุนการพัฒนานโยบาย กรอบงาน และกลยุทธ์ที่สอดคล้องกันในระดับชาติและระดับภูมิภาค เพื่อช่วยลดการสูญเสียป่าดิบและส่งเสริมการรับรู้กลไกการอนุรักษ์ตามพื้นที่ที่มีประสิทธิภาพอื่นๆ ในภูมิทัศน์ป่าดิบ ส่วนโครงการประสานงานระดับภูมิภาคจะเสริมสร้างความร่วมมือและความร่วมมือเพื่ออำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนความรู้ การสนับสนุนทางเทคนิค และการพัฒนาศักยภาพสำหรับการจัดการป่าดิบที่ดีขึ้นข้ามพรมแดน

นาย Alue Dohong ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติและผู้แทนระดับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกกล่าวว่า โครงการนี้ส่งเสริมการดำเนินการในระดับภูมิภาคเพื่ออนุรักษ์ ปกป้อง ฟื้นฟู และสนับสนุนการใช้พื้นที่ป่าดิบอันล้ำค่าอย่างยั่งยืน ซึ่งป่าดิบส่วนใหญ่ที่เหลืออยู่จะอยู่นอกสถานะการคุ้มครองอย่างเป็นทางการ ความร่วมมือระหว่างประเทศและองค์กรต่างๆ เหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงของการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อการผลิตที่ดีขึ้น โภชนาการที่ดีขึ้น สิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น และชีวิตที่ดีขึ้น

Dr. Grethel Aguilar ผู้อำนวยการใหญ่ IUCN กล่าวว่า ระบบชีวนิเวศป่าอินโด-มาเลย์เก่าแก่และอุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เป็นแหล่งรวมของความหลากหลายทางชีวภาพ วัฒนธรรม และประสิทธิภาพในการต้านทานสภาพอากาศ โครงการนี้จะสร้างการเปลี่ยนแปลง ด้วยการเชื่อมโยงรัฐบาล องค์กรระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชนเข้าด้วยกัน และกรอบการทำงานข้ามพรมแดนที่เหนียวแน่นซึ่งจะขยายผลกระทบด้านการอนุรักษ์ทั่วทั้งภูมิภาคอินโด-มาเลย์