เปิดโฉม 'แผนแม่บทสภาพภูมิอากาศ' เน้นสร้างภูมิคุ้มกัน-มีส่วนร่วมได้จริง

ประเทศไทยประกาศใช้ "แผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" แผนยุทธศาสตร์ระยะยาว 25-30 ปี ที่จะเปลี่ยนผ่านประเทศสู่ เศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ พร้อมสร้าง ภูมิคุ้มกัน ให้คนไทยรับมือวิกฤตสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
KEY
POINTS
- แผนแม่บทฯ เป็นกรอบชี้นำระยะยาว (25-30 ปี) เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- มุ่งสร้างสมดุลระหว่างการลดก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) และการสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อปรับตัว (Adaptation) โดยมีการกำหนดเป้าหมายเชิงปริมาณที่ชัดเจน
- เน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง ภายใต้หลักการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม (Just Transition) และการพัฒนาที่ทั่วถึง
- มีการกำหนดแนวทางขับเคลื่อนที่สำคัญ 5 ด้าน รวมถึงการผลักดันกฎหมายสภาพภูมิอากาศ และเป้าหมายการดำเนินงานเร่งด่วนในภาคส่วนต่างๆ
แผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย ซึ่งจะเป็น "ร่มใหญ่" ในการขับเคลื่อนการรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศของประเทศ โดยมีเป้าหมายระยะยาว 25-30 ปีข้างหน้า เพื่อให้ประเทศไทยมีการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ และมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วน
โครงสร้างและแนวคิดหลัก "ร่มใหญ่" แห่งอนาคตคาร์บอนต่ำ
ดร.ภาวิญญ์ เถลิงศรี ผู้เชียวชาญดานการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กล่าวในงาน การประชุมรับฟังความคิดเห็นสาธารณะต่อ (ร่าง) แผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ..... ว่า แผนแม่บทนี้ถูกออกแบบมาใน 5 ส่วนหลัก เริ่มตั้งแต่บทนำที่มาและวัตถุประสงค์ ไปจนถึงแนวทางการขับเคลื่อนและการประเมินผล แตกต่างจากแผนเดิมอย่าง NDC และ NAP ตรงที่ทำหน้าที่เป็นกรอบชี้นำภาพรวม มุ่งเน้นการชี้เป้าทิศทางในระยะยาว และวางระบบรองรับการขับเคลื่อนให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กรอบแนวคิดในการจัดทำแผนอ้างอิงข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ตามความตกลงปารีส โดยตั้งเป้าลดอุณหภูมิโลกให้ต่ำกว่า 2 องศา หรือ 1.5 องศา สอดคล้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืนภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการสร้างสมดุลระหว่างการลดก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) และการปรับตัว (Adaptation) โดยเฉพาะการกำหนดเป้าหมายเชิงปริมาณที่ชัดเจนสำหรับการปรับตัว รวมถึงการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม (Just Transition) การมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน และการบูรณาการการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
วิสัยทัศน์ พันธกิจ และเป้าหมาย สร้างภูมิคุ้มกันสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
วิสัยทัศน์ ของแผนแม่บทคือ "การเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ และมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกภาคส่วน" ซึ่งสะท้อนถึงคีย์เวิร์ดสำคัญคือ "เติบโตแบบคาร์บอนต่ำ" "มีภูมิคุ้มกัน" และ "ประชาชนมีส่วนร่วม"
ผศ.ดร.ภาสนันทน์ อัศวรักษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า พันธกิจหลัก 4 ประการ ได้แก่ การสร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยเน้นการบูรณาการข้ามหน่วยงาน การพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยี และระบบข้อมูลเพื่อเป็นรากฐานที่มั่นคง การพัฒนากลไกขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ และการเสริมสร้างศักยภาพและความตระหนักแก่ภาคีทุกภาคส่วน
เป้าหมายหลัก แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยมุ่งเน้นการลดก๊าซเรือนกระจกผ่านแผนปฏิบัติการที่ชัดเจน เพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน และลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในทุกมิติของชีวิตประจำวัน ส่วนที่สองคือ การสร้างภูมิคุ้มกัน ซึ่งให้ความสำคัญกับการกำหนด "Baseline" และตัวชี้วัดด้านภูมิคุ้มกันที่ชัดเจน พัฒนาแผนปฏิบัติการด้านการปรับตัว และบูรณาการเข้ากับแผนในระดับพื้นที่ พร้อมทั้งสร้างฐานข้อมูลและองค์ความรู้เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ
แผนแม่บทได้กำหนด กรอบเวลา 3 ระยะ ได้แก่ ระยะวางรากฐาน เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและกำหนด Baseline ระยะดำเนินการอย่างเข้มข้น เพื่อขยายผลมาตรการลดก๊าซและการปรับตัว และ ระยะบรรลุเป้าหมาย เพื่อก้าวสู่ Net Zero และสร้างเศรษฐกิจและสังคมที่มีภูมิคุ้มกันอย่างยั่งยืน
แนวทางการขับเคลื่อนและสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย
การบรรลุเป้าหมายของแผนแม่บทจำเป็นต้องมี สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย (Enabling Environment) ครอบคลุม 5 ด้าน ได้แก่
- เทคโนโลยี: ต้องมี "Climate Technology Strategy" ที่ชัดเจน พัฒนางานวิจัยและนวัตกรรม และขจัดอุปสรรคทางกฎหมาย
- การเงิน: กำหนดยุทธศาสตร์การเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งเสริมกลไกการเงินนวัตกรรม เช่น Carbon Credit และอาจพิจารณาจัดตั้งสถาบันการเงินพิเศษ
- การมีส่วนร่วม: นำแนวคิด "Just Transition" และ "Inclusiveness" มาใช้ตั้งแต่ต้น พัฒนากลไกประสานงาน และเสริมสร้างศักยภาพท้องถิ่นและภาคเอกชน
- ความรู้เท่าทัน (Climate Literacy): พัฒนา "Climate Thailand Web Portal" เป็นศูนย์กลางข้อมูล และใช้โซเชียลมีเดียในการสื่อสาร
- กฎหมายและกฎระเบียบ: เร่งรัดการออก พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้อง พร้อมจัดทำ "กฎหมายท้องถิ่นต้นแบบ" ในระยะยาว
เป้าหมายรายสาขา การลงมือทำในระยะเร่งด่วน
ในระยะวางรากฐาน แผนแม่บทได้กำหนดเป้าหมายเบื้องต้นสำหรับแต่ละภาคส่วน ได้แก่
- พลังงาน: เพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน ลดการใช้ถ่านหิน พัฒนาเทคโนโลยี CCUS และโครงสร้างพื้นฐาน Smart Grid
- คมนาคม: เพิ่มสัดส่วนยานยนต์ไฟฟ้า พัฒนาขนส่งสาธารณะไฟฟ้า และส่งเสริมการผสมไฮโดรเจนในระบบโลจิสติกส์
- อุตสาหกรรม: พัฒนาเทคโนโลยี CCU และสนับสนุนโรงงานขนาดใหญ่จัดทำรายงานการปล่อยก๊าซ
- ของเสีย: เพิ่มประสิทธิภาพระบบแยกขยะอินทรีย์ บำบัดน้ำเสียด้วยระบบชีวมวล และผลิตไบโอแก๊ส/ปุ๋ยชีวภาพจากขยะชุมชน
- เกษตร: ส่งเสริมการปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง ระบบจัดการมูลสัตว์ด้วยไบโอมีเทน และขยายพื้นที่เกษตรแม่นยำ
- ป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน: เพิ่มการดูดซับและกักเก็บคาร์บอนอย่างต่อเนื่อง
- ทรัพยากรน้ำ: พัฒนา Water Security Index, โครงสร้างพื้นฐานรับมืออุทกภัย, Water Footprint และระบบพยากรณ์น้ำ
- เกษตรและความมั่นคงทางอาหาร: พัฒนาดัชนีความสามารถในการพึ่งตนเอง, ระบบเตือนภัยการเกษตร, จัดทำแผนที่พื้นที่เสี่ยงภัย และส่งเสริมเกษตรแม่นยำ
- การท่องเที่ยว: ประเมินความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศ จัดทำแผนรับมือภัยพิบัติ และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานแหล่งท่องเที่ยว
- สาธารณสุข: เฝ้าระวังและคาดการณ์ความเสี่ยงต่อสุขภาพ และพัฒนาโครงสร้างสถานบริการสาธารณสุขให้รับมือการเปลี่ยนแปลงได้
- ทรัพยากรธรรมชาติ (การปรับตัว): พัฒนา Biological Indicator, ยกระดับดัชนีการเปลี่ยนแปลงสถานภาพสัตว์ถูกคุกคาม และประกาศพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม
- การตั้งถิ่นฐานและความมั่นคงของมนุษย์: พัฒนาเกณฑ์/ตัวชี้วัดความสามารถในการปรับตัวของเมือง, ระบบเตือนภัยพิบัติ และโครงสร้างพื้นฐานรับมือภัยธรรมชาติ รวมถึงการบูรณาการแผนปรับตัวในทุกระดับ
กลไกการขับเคลื่อนและการประเมินผล ก้าวไปข้างหน้าอย่างยืดหยุ่น
แผนแม่บทจะมีการ ทบทวนทุก 5 ปี เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์และบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงไป และจะมีการ รายงานผลการดำเนินงานต่อคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทุก 2 ปี โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมจะเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการติดตามและประเมินผล และหากมาตรการใดไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ก็จะมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง







