เปิดทาง 'เหี้ย' สัตว์เศรษฐกิจใหม่ ต้องซื้อพันธุ์รัฐ-มีใบอนุญาตก่อนเลี้ยง

กรมอุทยานฯ หนุน "เหี้ย" เป็นสัตว์เศรษฐกิจตัวใหม่ ยังคงเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ห้ามจับจากธรรมชาติ เปิดโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจแบบยั่งยืน เสริมรายได้ชุมชน พร้อมควบคุมความปลอดภัยด้านสิ่งแวดล้อมและกฎหมาย
KEY
POINTS
- กรมอุทยานฯ หนุน "เหี้ย" เป็นสัตว์เศรษฐกิจตัวใหม่
- ส่งเสริมการเพาะพันธุ์เหี้ยเพื่อสร้างรายได้ให้เกษตรกรและผู้ประกอบการ
- ราคาพ่อแม่พันธุ์เหี้ยกำหนดที่ตัวละ 500 บาท
- จำหน่ายเฉพาะที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาสน จ.ราชบุรี
- ยังคงเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ห้ามจับจากธรรมชาติ
- คุณสมบัติผู้ขออนุญาตเพาะพันธุ์เหี้ย ต้องถือใบอนุญาตเพาะพันธุ์สัตว์ป่าคุ้มครอง
- เปิดโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจแบบยั่งยืน เสริมรายได้ชุมชน พร้อมควบคุมความปลอดภัยด้านสิ่งแวดล้อมและกฎหมาย
จากกรณีที่ "เหี้ย" (Varanus Salvator) ได้รับการประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองที่สามารถเพาะพันธุ์ได้อย่างเป็นทางการเมื่อปลายปีที่ผ่านมานั้น (พ.ศ. 2567)
ล่าสุด นายเฉลิม พุ่มไม้ ผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการประกาศกำหนดราคาจำหน่ายพ่อแม่พันธุ์เหี้ยที่สามารถเพาะพันธุ์ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 เพื่อสร้างมูลค่าในเชิงพาณิชย์ และตอบสนองต่อความต้องการของตลาดที่มีแนวโน้มเติบโต
กรมอุทยานฯ เคาะราคาพ่อแม่พันธุ์
ราคาพ่อแม่พันธุ์เหี้ยตั้งไว้ที่ตัวละ 500 บาท และจะเริ่มจำหน่ายที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาสน จังหวัดราชบุรี เท่านั้น ซึ่งปัจจุบันมีตัวเหี้ยอยู่ในการดูแลมากถึง 290 ตัว โดยราคานี้ กรมอุทยานฯ คำนวณจากต้นทุนการดูแลภายในสถานี และเปรียบเทียบกับราคาสัตว์ป่าคุ้มครองชนิดอื่น เช่น งูเหลือม (ราคา 400 บาทต่อตัว) รวมกับต้นทุนค่าไมโครชิพอีก 100 บาท
ทั้งนี้ มีภาคเอกชนรายหนึ่งแสดงความสนใจขอซื้อพ่อแม่พันธุ์ประมาณ 30–40 คู่ เพื่อเริ่มต้นกิจการเพาะพันธุ์เหี้ยอย่างถูกกฎหมาย ส่วนใหญ่จะนำหนังไปใช้แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์
ขั้นตอนต่อไป กรมอุทยานฯ จะดำเนินการเพิ่มรายชื่อ “ตัวเหี้ย” ลงในบัญชีราคาสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามระเบียบว่าด้วยการเรียกเก็บค่าใช้จ่าย ค่าบริการ หรือค่าตอบแทน และราคาสัตว์ป่า พ.ศ. 2567 ซึ่งจะต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาอีกครั้ง เพื่อให้มีผลทางกฎหมายสำหรับการซื้อขายต่อไป
เหี้ยที่นำมาเพาะพันธุ์ ไม่กระทบต่อประชากรธรรมชาติ
นายเฉลิม อธิบายว่า การเปิดให้เพาะพันธุ์นี้ไม่ได้กระทบต่อประชากรในธรรมชาติ เพราะเหี้ยที่นำมาเพาะพันธุ์เป็นตัวที่ถูกส่งมาจากพื้นที่ชุมชนต่างๆ ซึ่งประชาชนร้องเรียนว่าก่อความเดือดร้อน หากปล่อยคืนธรรมชาติอาจทำให้เกิดปัญหาซ้ำ จึงนำมาอยู่ในการดูแลของสถานีเพาะเลี้ยง
ย้ำ! ยังเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง จับมาเลี้ยงเองไม่ได้
นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ออกมาชี้แจงต่อสาธารณชน เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2568 เกี่ยวกับกรณีที่ “เหี้ย” หรือชื่อวิทยาศาสตร์ Varanus Salvator ได้รับการประกาศให้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองที่สามารถเพาะพันธุ์ได้อย่างเป็นทางการเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา
นโยบายดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางส่งเสริมสัตว์เศรษฐกิจชนิดใหม่ โดยเล็งเห็นถึงศักยภาพของเหี้ยในการสร้างรายได้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการ โดยกรมฯ ได้ดำเนินการผลักดันเรื่องนี้ในหลายด้าน
อธิบดีฯ ระบุว่า แม้เหี้ยจะได้รับการเปลี่ยนสถานะให้สามารถเพาะพันธุ์ได้ตามกฎหมาย แต่ประชาชนทั่วไปยังคงไม่มีสิทธินำเหี้ยจากธรรมชาติมาเลี้ยงหรือเพาะพันธุ์เองได้ ต้องเป็นเหี้ยที่ได้จากสถานีเพาะเลี้ยงที่ได้รับใบอนุญาตเท่านั้น และต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติตรงตามที่กฎหมายกำหนด พร้อมย้ำว่า "สถานะการเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองยังคงอยู่ ไม่ใช่ใครจะจับมาจากธรรมชาติมาเลี้ยงได้"
การครอบครอง การฆ่า หรือการจำหน่ายสิ่งต้องห้าม ถือเป็นความผิดทางกฎหมาย ตามบทลงโทษตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ผู้ใดฝ่าฝืน มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ใครสามารถเพาะพันธุ์เหี้ยได้?
เฉพาะผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชเท่านั้น ที่สามารถดำเนินการเพาะพันธุ์เหี้ยได้ โดยต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์อย่างเข้มงวด ได้แก่
- ผู้ขออนุญาตต้องถือใบอนุญาตเพาะพันธุ์สัตว์ป่าคุ้มครองตามกฎหมาย
- ต้องมีกรรมสิทธิ์ในพื้นที่เพาะเลี้ยง หรือได้รับความยินยอมจากเจ้าของที่ดิน
- ต้องไม่มีประวัติต้องโทษตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562
- พ่อแม่พันธุ์ต้องมาจากสถานีเพาะเลี้ยงที่ได้รับอนุญาต ห้ามจับจากธรรมชาติอย่างเด็ดขาด
หลังจากได้รับอนุญาตให้เพาะพันธุ์แล้ว ผู้เพาะเลี้ยงสามารถจัดหาพ่อแม่พันธุ์จากสถานีที่ได้รับการรับรองเท่านั้น และลูกเหี้ยที่เกิดจากการเพาะพันธุ์ทุกตัวจะต้องมีการฝังไมโครชิพ เพื่อป้องกันการลักลอบนำสัตว์จากธรรมชาติมาปะปน
สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจแบบยั่งยืน
เป้าหมายของการเปิดให้เพาะพันธุ์เหี้ยนี้ คือเพื่อส่งเสริมให้เกิดอาชีพใหม่อย่างถูกกฎหมาย และช่วยยกระดับเศรษฐกิจในชุมชน โดยเน้นผู้ที่มีคุณสมบัติพร้อมและสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด
สำหรับผู้ที่สนใจเพาะพันธุ์เหี้ยเป็นอาชีพ หรือมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถสอบถามข้อมูลจาก "ส่วนคุ้มครองสัตว์ป่า สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช" ในเวลาราชการ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และร่วมส่งเสริมเหี้ยให้กลายเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่สร้างรายได้อย่างยั่งยืนในอนาคต