‘ซากเรือรบ’ ยุคสงครามโลก อับปางใต้ทะเล ปล่อย ‘มลพิษ’ ร้ายแรง

‘ซากเรือรบ’ ยุคสงครามโลก อับปางใต้ทะเล ปล่อย ‘มลพิษ’ ร้ายแรง

ซากเรือรบยุคสงครามที่ 1-2 ที่จมใต้ทะเล ปล่อยมลพิษร้ายแรง จากอาวุธเคมี โลหะหนัก น้ำมัน กระทบสิ่งแวดล้อม สัตว์น้ำรอวันตาย

KEY

POINTS

  • “ซากเรือรบ” มากกว่า 8,500 ลำจากสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง นอนสงบนิ่งอยู่ใต้ท้องทะเลและมหาสมุทรทั่วโลก พวกมันถูกทิ้งร้างมานานหลายทศวรรษ
  • โครงสร้างของซากเรือเสียหาย มีโอกาสที่สารพิษต่าง ๆ ที่อยู่ในซากเรือทั้งน้ำมัน อาวุธ โลหะหนักที่เป็นพิษ และอาวุธเคมี จะถูกปล่อยสู่สิ่งแวดล้อมทางทะเลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
  • ปัญหาคือซากเรือหลายลำจมอยู่ในน่านน้ำนอกชายฝั่งของประเทศที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าของเรือเดิม จึงเกิดปัญหาว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบ

ซากเรือรบ” มากกว่า 8,500 ลำจาก สงครามโลก ทั้ง 2 ครั้ง นอนสงบนิ่งอยู่ใต้ท้องทะเลและมหาสมุทรทั่วโลก พวกมันถูกทิ้งร้างมานานหลายทศวรรษ จนโครงสร้างของซากเรือเสียหาย มีโอกาสที่สารพิษต่าง ๆ ที่อยู่ในซากเรือทั้งน้ำมันมากถึง 6,000 ล้านแกลลอน รวมถึงอาวุธ โลหะหนักที่เป็นพิษ และอาวุธเคมี จะถูกปล่อยสู่สิ่งแวดล้อมทางทะเลอย่างกะทันหันเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในบางส่วนของโลกทำให้ความเสี่ยงนี้รุนแรงขึ้น อุณหภูมิของมหาสมุทรที่สูงขึ้น ความเป็นกรด และพายุที่เพิ่มมากขึ้นเร่งให้ซากเรือเหล่านี้พังทลายลง คาดว่าการรั่วไหลจากเรือที่จมจะถึงระดับสูงสุดภายใน 10 ปี แต่บรรดานักวิทยาศาสตร์ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะคาดได้ว่าการรั่วไหลจะเกิดขึ้นเมื่อใด หรือที่ใด

แน่นอนว่าซากเรือจากสงครามโลกไม่ใช่ซากเรือเพียงชนิดเดียวที่พบอยู่ใต้ท้องทะเล ยังมีซากเรืออื่น ๆ อีกมากที่เพิ่มปัญหาให้มากขึ้น ค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหานี้ถูกประเมินไว้ที่ 340,000 ล้านดอลลาร์ แต่ในความเป็นจริงแล้วมูลค่าอาจจะสูงกว่านี้มาก 

ผลกระทบในระดับภูมิภาคจากมลพิษจากซากเรืออาจร้ายแรงในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น การสูญเสียประชากรสัตว์น้ำ รวมถึงสายพันธุ์ปลาที่มีความสำคัญทางการประมง ความเสียหายต่อระบบนิเวศชายฝั่งและทางทะเล เช่น ป่าชายเลนและแนวปะการัง ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารของชุมชน แหล่งทำกิน รวมถึงประโยชน์อื่น ๆ ที่ระบบนิเวศเหล่านี้มอบให้ เช่น ที่อยู่อาศัยและการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

นอกจากนี้ มลพิษอาจเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อสุขภาพของมนุษย์ อาวุธในเรือสามารถระเบิดได้ และการวิจัยชี้ให้เห็นว่าการกินปลาที่สัมผัสกับสารเคมีที่พบในซากเรือบางลำอาจเป็นพิษและก่อมะเร็ง

ระบุตำแหน่งได้ยาก

ในปัจจุบันแผ่นที่ทางทะเลและมหาสมุทรยังไม่ครอบคลุมทุกสถานที่ในโลก โดยมีการอธิบายและทำแผนที่ไว้อย่างละเอียดประมาณ 23% เท่านั้น แต่ถึงจะเป็นแผนที่ที่ละเอียด ก็ยังไม่แม่นยำมากพอที่จะระบุซากเรือได้อย่างชัดเจน ไม่ต้องพูดถึงการระบุความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

โครงการ Seabed 2030 จึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อปรับปรุงการทำแผนที่พื้นที่มหาสมุทร ซึ่งมีเป้าหมายที่จะบรรลุความละเอียดสากลที่ 100x100 เมตร นั่นหมายความว่าข้อมูลขนาดหนึ่งพิกเซลจะเทียบเท่ากับสนามฟุตบอลประมาณ 2 สนาม การดำเนินการดังกล่าวจะเปลี่ยนแปลงความเข้าใจของมนุษย์เกี่ยวกับพื้นมหาสมุทร แต่ก็ยังไม่สามารถเผยรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ ทั้งหมดที่ซ่อนไว้ในสนามฟุตบอลสองสนามนั้น ซึ่งรวมถึงซากเรือหลายลำอยู่ดี

ส่วนซากเรือสมัยสงครามโลกที่อับปางใกล้ชายฝั่ง มักจะปรากฏอยู่ในแผนที่ความละเอียดที่สูงของรัฐบาลและหน่วยงานภาคอุตสาหกรรม แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีปัญหาในการระบุตัวตนอยู่ เนื่องจากข้อมูลส่วนใหญ่ที่มีเกี่ยวกับเรือ มักจะเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ ที่บอกเพียงรายละเอียดของโครงสร้างเรือ สินค้าที่ขนส่ง และตำแหน่งสุดท้ายที่ทราบก่อนจะสูญหาย ซึ่งมีความไม่แน่นอนสูง

จากการสืบสวนทางธรณีฟิสิกส์และเอกสารสำคัญในทะเลไอริช ที่จัดทำโดยอินเนส แม็คคาร์นีย์ นักโบราณคดีทางทะเล และ ไมค์ โรเบิร์ตส์ นักสมุทรศาสตร์ แสดงให้เห็นว่าบันทึกทางประวัติศาสตร์ระบุตำแหน่งซากเรือรบสมัยสงครามโลกผิดอยู่บ่อยครั้ง และมากถึง 60% อาจอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ทราบแน่ชัดบนพื้นทะเล

ใครต้องรับผิดชอบ

เรือส่วนใหญ่ทำจากโลหะและไม้ ซึ่งโครงสร้างเหล่านี้กำลังเสื่อมสภาพลงอย่างช้า ๆ ทำให้มีโอกาสที่สินค้าจะแตกและชิ้นส่วนจะแตกหักมากขึ้น ขณะเดียวกันการประมง ตลอดจนการก่อสร้างฟาร์มกังหันลมนอกชายฝั่งและติดตั้งพลังงานอื่น ๆ เพื่อให้เป็นไปตามพันธสัญญาการปล่อยมลพิษสุทธิเป็นศูนย์ ล้วนส่งผลกระทบต่อพื้นท้องทะเล และอาจรบกวนหรือเปลี่ยนแปลงพลวัตของที่ตั้งซากเรือได้

ทั่วโลกเริ่มตระหนักถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหานี้มากขึ้น แต่จนถึงปัจจุบันปัญหานี้ยังคงไม่ได้รับการแก้ไข เนื่องจากปัญหาที่ซับซ้อนในระดับนานาชาติและสหวิทยาการ

ก่อนหน้านี้ สหรัฐเคยกำจัดน้ำมัน 1.8 ล้านแกลลอนออกจากเรือ USS Mississinewa อับปางลงในปี 1944 ในน่านน้ำของสหพันธรัฐไมโครนีเซีย โดยมีค่าใช้จ่ายประมาณ 6 ล้านดอลลาร์ ซึ่งน้อยกว่าค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาหากน้ำมันรั่วไหลอยู่มาก 

แต่ปัญหาคือซากเรือหลายลำจมอยู่ในน่านน้ำนอกชายฝั่งของประเทศที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าของเรือเดิม จึงเกิดปัญหาว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบและจ่ายเงินค่าทำความสะอาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าของเรือเดิมได้รับประโยชน์จากช่องโหว่ทางกฎหมายของเอกสิทธิ์อธิปไตย

นอกเหนือจากคำถามพื้นฐานเหล่านี้เกี่ยวกับความรับผิดชอบแล้ว ยังมีความท้าทายทางเทคนิคอีกด้วย เป็นเรื่องยากที่จะทราบได้อย่างแน่ชัดว่ามีซากเรือที่น่ากังวลอยู่กี่ลำ จะค้นหาซากเรือเหล่านั้นได้อย่างไร ต่อให้เจอแล้วจะมีเกณฑ์การประเมินอย่างไร และจะกู้ซากเรือหรือดำเนินการอย่างไรต่อไป คำถามเหล่านี้ล้วนเป็นความท้าทายที่ซับซ้อน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากนักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดี วิศวกร นักชีววิทยา นักธรณีฟิสิกส์ นักธรณีเคมี นักสำรวจอุทกศาสตร์ นักวิเคราะห์ข้อมูลภูมิสารสนเทศ และวิศวกร

 

แนวทางแก้ปัญหา

เมื่อพิจารณาจากจำนวนซากเรือที่จมอยู่ทั่วโลก การดำเนินการเพื่อป้องกันมลพิษจะต้องมีประสิทธิภาพและต้องให้ความสำคัญกับความเสี่ยงเป็นอันดับแรก โดยองค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ระบุว่าจำเป็นต้องมีมาตรฐานสากลฉบับใหม่ เพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดและจำแนกเรือที่จมตามผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น การใช้มาตรฐานจะช่วยให้รัฐบาลทราบว่าจะต้องดำเนินการที่ไหนและเมื่อใด และจัดสรรทรัพยากรระดับโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

นอกจากนี้ ยังจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อกำหนดโครงสร้างของมาตรฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับซากเรือแต่ละลำ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ และปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ซากเรือแตกออกจากกัน ซึ่งจำเป็นต้องขยายโครงการวิจัยที่มีอยู่เพื่อรวมข้อมูลในอดีต ความหลากหลายทางชีวภาพในท้องถิ่นและการประเมินทางเศรษฐกิจ การวิเคราะห์รูปแบบสภาพอากาศ กระแสน้ำ ความเค็มและอุณหภูมิของน้ำ กิจกรรมแผ่นดินไหว ตลอดจนการทำแผนที่พื้นทะเลโดยละเอียด

การพัฒนาและนำมาตรฐานไปใช้ยังต้องอาศัยความร่วมมือจากรัฐต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างรัฐบาลเพื่อนบ้านในการจัดการผลกระทบข้ามพรมแดน และระหว่าง “รัฐเจ้าของธง” (flag state) ซึ่งรักษาอำนาจอธิปไตยเหนือเรืออับปาง กับรัฐชายฝั่งที่ซากเรือจมอยู่ในน่านน้ำอาณาเขต

องค์กรการเดินเรือระหว่างประเทศ (IMO) หน่วยงานของสหประชาชาติที่ควบคุมการเดินเรือทั่วโลก สามารถช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงานร่วมกันผ่านกรอบงานที่มีอยู่ และบทบัญญัติสำหรับการจัดการมลพิษจากซากเรือในน่านน้ำสากลอาจนำมาใช้ผ่านสนธิสัญญาทะเลหลวงของสหประชาชาติ (BBNJ)

ในระหว่างนี้ รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ควรนำซากเรือเข้าไว้ในแผนพื้นที่ทางทะเลและแผนฉุกเฉินโดยด่วน แผนของประเทศต่าง ๆ ควรเตรียมพร้อมที่จะหยุดการแพร่กระจายของมลพิษโดยการกำจัดมลพิษออกจากซากเรือและตอบสนองต่อการรั่วไหล พร้อมให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษในการดำรงชีพ และฟื้นฟูระบบนิเวศที่เสียหายเมื่อควบคุมมลพิษได้แล้ว

นอกเหนือจากบทบาทในการวิจัยแล้ว องค์กรภาคประชาสังคมสามารถช่วยสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหานี้และทำให้มั่นใจว่าปัญหานี้อยู่ในวาระทางการเมืองระดับชาติและระดับนานาชาติ


ที่มา: Euro NewsIUCNThe Conversation