'Solar Geoengineering' เทคโนโลยีชะลอภาวะโลกร้อน ทางรอดโลกเดือด

สวัสดีครับเป็นที่ทราบกันดีว่าอุณหภูมิของโลกเรายังสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organization) ชี้ว่าปี 2567 เป็นปีที่อุณหภูมิพื้นผิวโลกโดยเฉลี่ยทั้งปีสูงขึ้น 1.55 องศา

จากระดับยุคก่อนอุตสาหกรรม ตัวการย่อมหนีไม่พ้นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนว่าเราทุกคนต้องเร่งหาเครื่องมือใหม่ๆ มาเสริมกับแนวทางที่มีในปัจจุบัน ทั้งการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การเปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียน และการอนุรักษ์ป่าไม้ เพื่อแก้ไขวาระระดับโลกนี้ครับ

เมื่ออุณหภูมิโลกยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและมีความเสี่ยงสูงว่าโลกของเราอาจ “พลาด” เป้าหมายการควบคุมอุณหภูมิโลกให้เพิ่มขึ้นมากกว่า 1.5 องศา ก่อนปี 2573 (ค.ศ. 2030) นักวิทยาศาสตร์บางคนจึงเริ่มหาแนวทางใหม่ๆ เพื่อแก้ไขวาระเร่งด่วนนี้ หนึ่งในนั้นชื่อว่า “Solar Geoengineering” หรือ การสะท้อนแสงอาทิตย์ส่วนหนึ่งกลับสู่ชั้นบรรยากาศเพื่อทำให้โลกเย็นลง ซึ่งนักวิจัยกำลังพิจารณาแนวทางหลักอยู่สองวิธี วิธีแรกคือ การฉีดอนุภาคขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ (Stratospheric Aerosol Injection - SAI) เพื่อสะท้อนแสงอาทิตย์ออกไป ส่วนวิธีที่สองคือ การเพิ่มความสว่างของเมฆเหนือมหาสมุทร (Marine Cloud Brightening - MCB) โดยการใช้เกลือสมุทรกระตุ้นการก่อตัวของเมฆเหนือพื้นน้ำ ซึ่งจะช่วยสะท้อนแสงอาทิตย์ออกไปในบริเวณนั้นๆ

การสะท้อนแสงอาทิตย์กลับสู่ชั้นบรรยากาศนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นการ “เลียนแบบ” ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ยกตัวอย่างคือคล้ายๆ การระเบิดของภูเขาไฟ ซึ่งในอดีตเคยนำไปสู่การลดลงของอุณหภูมิโลกชั่วคราว เช่น การระเบิดของภูเขาไฟปินาตูโบบนเกาะลูซอน ประเทศฟิลิปปินส์ในปี พ.ศ. 2534 ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้ปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์จำนวนมหาศาลเข้าสู่ชั้นสตราโตสเฟียร์ ส่งผลให้ในปีถัดมาอุณหภูมิโลกบริเวณเกาะลดลงประมาณ 0.5 องศา แต่ทว่าต้องแลกมาด้วยความเสียหายต่อสภาพแวดล้อมและสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนในเกาะอย่างยิ่ง

แม้ว่าวิธีนี้ยังคงเป็นทฤษฎี แต่ด้วยเวลาที่งวดเข้ามาทุกขณะและด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้น นักวิทยาศาสตร์บางคนมองว่า “Solar Geoengineering” อาจจะเข้ามาช่วย “ยื้อ” เวลาให้กับประเทศต่างๆ ในการดำเนินกลยุทธ์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและปรับเปลี่ยนแนวนโยบายในการรับมือกับอุณหภูมิที่สูงขึ้น รวมถึงเพื่อให้มีเวลามากพอในการลดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ อาทิ คลื่นความร้อนรุนแรงหรือการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล เป็นต้น

แต่เหรียญย่อมมีสองด้าน มีนักวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อยที่เห็นแย้งกับแนวคิดนี้ พร้อมได้หยิบยกความกังวลร้ายแรงเกี่ยวกับผลข้างเคียงต่อสิ่งแวดล้อม เช่น รูปแบบสภาพอากาศ การเบี่ยงทิศทางลมมรสุม และความหลากหลายทางชีวภาพที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ ตลอดจนความกังวลด้าน “ภาวะภัยทางศีลธรรม” (Moral Hazard) ที่ประเทศต่างๆ อาจพึ่งพาการ “รบกวน” สภาพอากาศเกินไปจนไปลดความเร่งด่วนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือส่งเสริมให้อุตสาหกรรมที่ก่อมลพิษเลื่อนแผนงานด้านการเปลี่ยนผ่านออกไป จากแรงกดดันของสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน รวมถึงนโยบายสิ่งแวดล้อมจากประเทศมหาอำนาจที่มุ่งสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจเป็นหลัก

ประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งประเทศที่เปราะบางต่อสภาพภูมิอากาศ อาจเข้ามามีส่วนร่วมในการส่งเสริมนวัตกรรมที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ การเริ่มศึกษาแนวคิดลดโลกร้อน หรือทดลองเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องภายใต้สภาวะที่ควบคุมได้ (Sandbox) โดยมีภาคการเงินเข้ามามีส่วนสนับสนุนผ่านกระบวนการให้เงินทุนแก่ธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีนวัตกรรมที่ควบคุมหรือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Climate Tech) นอกจากนี้ อาจต้องทำควบคู่ไปกับการแลกเปลี่ยนภาคีความร่วมมือกับประเทศที่มีเทคโนโลยีชั้นนำ ซึ่งตามเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย ฉบับที่ 2 หรือ “NDC3.0” ประเทศไทยมุ่งจะยกระดับเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกให้เหลือ 152 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ภายในปี พ.ศ. 2578 จาก 375 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ณ ปีฐาน พ.ศ. 2562 เพื่อรักษาอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศา

ถึงกระนั้น แนวทางได้ผลมากที่สุดคือทุกประเทศต้อง “ลงมือทำ” ด้วยตัวเองก่อน ทั้งการปล่อยมลพิษจากภาคพลังงาน ภาคการขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน อนุรักษ์ระบบนิเวศธรรมชาติ และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ทนทานต่อสภาพภูมิอากาศ หากทุกฝ่ายได้ข้อสรุปร่วมกัน ในอนาคตเราอาจได้เห็นบทบาทของ Solar Geoengineering ในฐานะ “กลไกเสริม” ซึ่งการทำให้โลกเย็นลงจาก “ท้องฟ้า” อาจเป็นไปได้ในสักวันหนึ่ง แต่การทำให้โลกเย็นลงจาก “พื้นดิน” คือสิ่งที่ต้องทำก่อนครับ