ราชกิจจาฯ ประกาศล่าสุด ห้ามนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ บังคับใช้ 24 มิ.ย. 2568

กระทรวงพาณิชย์ออกประกาศห้ามนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ (e-waste) ประกาศใหม่ปี 2568 ยกเลิกประกาศเดิมเมื่อปี 2563 และขยายรายการสินค้าต้องห้ามจาก 428 รายการ เป็น 463 รายการ
KEY
POINTS
- กระทรวงพาณิชย์ออกประกาศห้ามนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ (e-waste)
- มีผลบังคับใช้ถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568
- ยกเลิกประกาศเดิมเมื่อปี 2563 และขยายรายการสินค้าต้องห้ามจาก 428 รายการ เป็น 463 รายการ
- ไทยมีขยะอิเล็กทรอนิกส์มากกว่า 400,000 ตันต่อปี แต่กำจัดถูกวิธีได้เพียง 500 ตัน (0.125%) ส่วนใหญ่ไหลเข้าสู่ระบบไม่เป็นทางการ
- ปี 2557 ไทยนำเข้า e-waste ราว 900 ตัน แต่เพิ่มขึ้นเป็น มากกว่า 50,000 ตัน ในปี 2560 สะท้อนว่าประเทศไทยเสี่ยงกลายเป็น "ถังขยะโลก"
ประเทศไทยเดินหน้าอีกก้าวสำคัญในการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยวันนี้ (24 มิถุนายน 2568) ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้ หลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวานนี้ (วันที่ 23 มิถุนายน)
ปรับปรุงจากประกาศเดิมเมื่อปี 2563
ประกาศนี้ระบุชัดเจนว่ามีการ ยกเลิกประกาศฉบับปี 2563 ที่ลงวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2563 โดยประกาศฉบับใหม่นี้เป็นการปรับปรุงจากประกาศเดิม มีการเพิ่มรายการสินค้าต้องห้ามจาก 428 รายการ เป็น 463 รายการ เพื่อให้ครอบคลุมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่หมดอายุการใช้งานมากขึ้น เช่น แผงวงจรเสีย แบตเตอรี่ลิเธียมเก่า โทรศัพท์มือถือที่ไม่สามารถใช้งานได้ และเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กที่มีสารอันตรายตกค้าง นอกจากนี้ ยังมีการปรับพิกัดศุลกากรให้สอดคล้องกับระบบฮาโมไนซ์ปี 2565 เพื่อป้องกันการสำแดงเท็จและการลักลอบนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบอื่น
นิยามขยะอิเล็กทรอนิกส์
“ขยะอิเล็กทรอนิกส์” หมายถึง ชิ้นส่วนหรือเศษของอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่หมดอายุการใช้งาน ซึ่งไม่รวมถึงเศษจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้า โดยขยะประเภทนี้มักประกอบด้วยส่วนประกอบที่เป็นอันตราย เช่น ตัวเก็บประจุไฟฟ้า แบตเตอรี่ชนิดต่าง ๆ สวิตช์ที่มีปรอทเป็นองค์ประกอบ เศษแก้วจากหลอดรังสีแคโทด และแก้วชนิดแอกติเวเต็ด
รวมถึงตัวเก็บประจุไฟฟ้าที่มีสารพีซีบี หรือปนเปื้อนด้วยสารเคมีอันตราย เช่น แคดเมียม ปรอท ตะกั่ว และโพลิคลอริเนเต็ดไบฟีนิล ซึ่งล้วนจัดอยู่ในบัญชี 5.2 ลำดับที่ 2.18 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องบัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ. 2556 ภายใต้กฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตราย
ทั้งนี้ ประกาศกระทรวงพาณิชย์ล่าสุด ปี 2568 นี้ ได้ออกประกาศให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์ตามพิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 84 และ 85 เฉพาะรหัสสถิติ 899 ตามบัญชีท้ายประกาศ เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อป้องกันผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนจากสารพิษตกค้างในขยะเหล่านี้
ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ไทยต้องเผชิญ
รายงานของ กรมควบคุมมลพิษ ปี 2564 ระบุว่า ประเทศไทยมีปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ภายในประเทศมากกว่า 400,000 ตันต่อปี แต่สามารถจัดเก็บและดำเนินการกำจัดอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการได้เพียงประมาณ 500 ตัน คิดเป็นเพียงร้อยละ 0.125 เท่านั้น ขยะส่วนใหญ่ที่เหลือมักถูกเก็บไว้ตามบ้านเรือน หรือถูกขายต่อเป็นสินค้ามือสอง รวมถึงขายให้กับรถเร่หรือซาเล้งเพื่อเข้าสู่ระบบรีไซเคิลอย่างไม่เป็นทางการ
ขณะเดียวกัน ประเทศไทยยังเผชิญกับการ นำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศในปริมาณที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2557 มีการนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ประมาณ 900 ตัน แต่ภายในระยะเวลาเพียง 3 ปี ปริมาณดังกล่าวได้เพิ่มขึ้นเป็น มากกว่า 50,000 ตัน ในปี 2560
นอกจากนี้ ยังพบว่า มีโรงงานและสถานประกอบการบางแห่งดำเนินกิจการถอดแยกชิ้นส่วนขยะอิเล็กทรอนิกส์โดยไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ส่งผลให้เกิดการรั่วไหลของสารพิษและโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว ปรอท โพลิคลอริเนเต็ดไบฟีนิล (PCBs) และแคดเมียม
ขยะอิเล็กทรอนิกส์มักมีสารพิษตกค้าง ซึ่งหากจัดการไม่ถูกวิธีจะก่อให้เกิดมลพิษต่อดิน น้ำ และอากาศ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน
นับเป็นก้าวสำคัญของไทยในการยกระดับแนวทางการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยเริ่มจากการปิดทางนำเข้าจากต่างประเทศ ชี้ชัดว่า “ไทยไม่ใช่ถังขยะโลก” แต่เป็นประเทศที่พร้อมสู่เป้าหมายเศรษฐกิจหมุนเวียนและความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง







