เหมืองแร่แรร์เอิร์ธ รัฐฉาน ผุด 8 เท่า ปมสารพิษไหลสู่ไทย เร่งรัฐฯ คุยพม่า-จีน

เหมืองแร่แรร์เอิร์ธในรัฐฉาน เมียนมา ทำให้สารโลหะหนัก โดยเฉพาะ "สารหนู" ปนเปื้อนในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายของไทย มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ระบุว่า จำนวนเหมืองในเมืองป้อกเพิ่ม 8 เท่า
KEY
POINTS
- เหมืองแร่แรร์เอิร์ธในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ทำให้สารโลหะหนัก โดยเฉพาะ "สารหนู" ปนเปื้อนในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายของไทย
- ตั้งแต่ปี 2558 ถึง 2568 จำนวนเหมืองในเมืองป้อก รัฐฉาน ทางตอนเหนือของเขตกองทัพว้า เพิ่มจาก 3 แห่งเป็น 26 แห่ง หรือเพิ่มขึ้น 8 เท่า
- เหมืองแร่ในรัฐฉานใช้เทคนิค "การชะละลายแร่" ฉีดสารเคมีลงดินเพื่อแยกแร่ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนน้ำผิวดินและน้ำใต้ดิน
- ประชาชนในเชียงรายหลายล้านคนได้รับผลกระทบ ไม่สามารถหาปลา ทำการเกษตร หรือท่องเที่ยวทางน้ำได้
- องค์กรสิ่งแวดล้อมวิจารณ์ว่ารัฐไทย “ขยับตัวช้า” และยังไม่รับมือกับปัญหาอย่างจริงจัง
- การแก้ปัญหาคือ ยุติการทำเหมืองแรร์เอิร์ธ โดยเร่งเจรจากับเมียนมา จีน และกองกำลังว้า
สถานการณ์มลพิษข้ามพรมแดนที่กำลังคุกคามแม่น้ำกกและแม่น้ำสายในประเทศไทยมีสาเหตุมาจากการทำเหมืองแร่หายาก (Rare Earth Elements – REEs) ในรัฐฉาน เมียนมา ซึ่งส่งผลให้สารโลหะหนัก โดยเฉพาะสารหนู ปนเปื้อนในลำน้ำเกินค่ามาตรฐานตลอดเส้นทาง และชี้ว่านี่คือวิกฤตมลพิษที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยเผชิญมา
แร่แรร์เอิร์ธพบได้ค่อนข้างบ่อยในเปลือกโลก คือหัวใจของเทคโนโลยีหลายอย่าง โดยเฉพาะในยุคพลังงานหมุนเวียนและเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ จุดเด่นของแร่เหล่านี้คือคุณสมบัติทางแม่เหล็ก ไฟฟ้า และเคมีที่ไม่เหมือนใคร จึงถูกนำไปใช้ในเทคโนโลยีทันสมัยหลากหลายชนิด เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีไฮเทค อุปกรณ์ทางการแพทย์
"เพียงพร ดีเทศน์" ผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) ให้สัมภาษณ์กับ 'กรุงเทพธุรกิจ' ว่า ปัญหานี้เริ่มเป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชนหลังจากการเดินขบวนเพื่อปกป้องแม่น้ำของชาวบ้านที่บ้านท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา
หลังจากนั้นมีข้อมูลว่ามีการทำเหมืองแร่ที่ต้นน้ำกก และแม่น้ำสาย แต่ในช่วงแรกเข้าใจว่าเป็นเหมืองทองคำ เนื่องจากพบเรือขุดแร่ลักษณะเดียวกับที่ใช้ในลาวสำหรับการขุดทองคำ ภายหลังพบว่าเป็นเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ ซึ่งสร้างความกังวลยิ่งขึ้น
จากการลงพื้นที่และข้อมูลจากสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่ กรมควบคุมมลพิษ พบว่าผลตรวจน้ำเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นการปนเปื้อนของสารโลหะหนัก โดยเฉพาะ "สารหนู" เกินค่ามาตรฐานในแม่น้ำกก การตรวจวัดทุก 2 สัปดาห์ต่อมาก็ยังคงพบการปนเปื้อนของสารหนูตลอดลำน้ำกกไปจนถึงแม่น้ำโขง และแม่น้ำสาย
เปิดหน้าดินเพื่อทำเหมืองแร่
"เพียงพร” กล่าวด้วยว่า จากการตรวจสอบผ่าน Google Earth และการนำเสนอข้อมูลในที่ประชุมคณะกรรมาธิการ ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย พบว่ามีการเปิดหน้าดินเพื่อทำเหมืองแร่จำนวนมาก ที่ต้นน้ำกก และต้นน้ำสาย
คาดว่ากิจกรรมการทำเหมืองที่ต้นน้ำกกน่าจะเริ่มมาประมาณ 2 ปี ส่วนที่ต้นน้ำสายน่าจะประมาณ 4 ปี ซึ่งชาวบ้านในพื้นที่แม่สายเคยร้องเรียนเรื่องน้ำขุ่นข้นมาแล้ว และการประปาต้องใช้มาตรการเข้มข้นขึ้นในการบำบัดน้ำดิบ
“เหมืองแร่เหล่านี้ตั้งอยู่ในรัฐฉานของเมียนมา ซึ่งเป็นพื้นที่ของกองกำลังว้า (United Wa State Army : UWSA) นอกจากนี้ยังมีข้อมูลบ่งชี้ว่าเป็นการลงทุนจากประเทศจีน เนื่องจากมีการขนแร่กลับไปจีน ทำให้สถานการณ์ยิ่งซับซ้อน และหลังการรัฐประหารในปี 2564 เมียนมาแทบจะเป็นรัฐล้มเหลวที่ไม่มีกฎหมายควบคุม แม้สถานทูตจีนประจำประเทศไทยได้โพสต์แสดงความกังวล และย้ำให้ธุรกิจจีนปฏิบัติตามกฎหมายท้องถิ่นในประเทศที่เข้าไปลงทุน แต่ในทางปฏิบัติกลับเป็นเรื่องยากในเมียนมา”
ภาคเหนือไทยเผชิญความเสี่ยง อาชีพ-สุขภาพ
“เพียงพร” บอกว่า ผลกระทบของมลพิษข้ามพรมแดนครั้งนี้รุนแรงต่อประชาชนนับล้านคนในเชียงรายที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านชีวิตและสุขภาพ
"ชาวบ้านไม่สามารถประกอบอาชีพหาปลาหรือขับเรือท่องเที่ยวได้ตามปกติ และเกษตรกรผู้ทำนาก็มีความกังวลว่าข้าวที่ปลูกโดยใช้น้ำจากแม่น้ำกกอาจปนเปื้อนสารหนู ซึ่งข้าวสามารถสะสมสารหนูได้ดี นอกจากนี้ ยังมีการพบปลาที่มีพยาธิผิดปกติซึ่งสอดคล้องกับการเปิดหน้าดินทำเหมือง
เร่งไทยขยับตัวเร็วขึ้น
“เพียงพร” กล่าวถึงการตอบสนองของรัฐบาลไทยว่า "ขยับช้า" โดยมีเพียงการส่งจดหมายแจ้งไปยังประเทศเพื่อนบ้านเท่านั้น เธอย้ำว่ารัฐบาลต้องยอมรับว่านี่คือ "วิกฤตมลพิษข้ามพรมแดนที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยเผชิญมา" และต้องเร่งแก้ไขปัญหาโดยทันที หนทางเดียวที่จะแก้ปัญหาได้คือ "ต้องหยุดเหมืองเท่านั้น"
นอกจากนั้น “เพียงพร” เรียกร้องให้รัฐบาลไทยเร่งเจรจากับเมียนมา จีน และกองกำลังว้าโดยตรง และใช้มาตรการที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นมาตรการทางเศรษฐกิจ การทูต หรือแม้แต่มาตรการทางอาหาร เพื่อกดดันให้ยุติการทำเหมือง
"หากปล่อยให้มีการเปิดหน้าดินและทำเหมืองต่อไป ชาวเชียงรายก็เหมือน 'ถูกตายผ่อนส่ง' การฟื้นฟูแม่น้ำที่ปนเปื้อนสารโลหะหนักนั้นทำได้ยากมากและต้องใช้เวลานาน เหมือนกรณีลำห้วยคลิตี้ที่ปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างสมบูรณ์แม้ผ่านไปกว่า 30 ปี
Margins มหาศาล
รอยเตอร์ส เผยว่า บริษัทเหมืองแร่ของจีนสามารถผลิตออกไซด์ของแร่แรร์เอิร์ธหนักในเมียนมาได้ในต้นทุนต่ำ และอยู่ภายใต้กฎระเบียบที่ไม่เข้มงวด โดยมีต้นทุนถูกกว่าพื้นที่อื่นที่มีแหล่งแร่ลักษณะคล้ายกันถึง 7 เท่า ตามที่ "เนฮา มูเคอร์จี" จาก Benchmark Mineral Intelligence กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษระบุว่า "กำไรส่วนต่างนั้นมหาศาล"
เผยเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ ขยายตัว 8 เท่า
ขณะที่เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ (Shan Human Rights Foundation - SHRF) เปิดเผย 'แถลงการณ์' ล่าสุดที่ชี้ให้เห็นถึงการขยายตัวอย่างรวดเร็วและน่ากังวลของเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในเมืองป้อก รัฐฉาน ทางตอนเหนือของเขตกองทัพว้า (United Wa State Army - UWSA) ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับชายแดนประเทศจีน
จากการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียม มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2558 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 จำนวนเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในพื้นที่ดังกล่าวเพิ่มขึ้นจาก 3 แห่งเป็น 26 แห่ง หรือเพิ่มขึ้นกว่า 8 เท่า โดยเหมืองบางแห่งอยู่ห่างจากใจกลางเมืองเพียง 3-4 กิโลเมตร ความใกล้ชิดของเหมืองกับชุมชนทำให้เกิดความกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในพื้นที่
วิธีการทำเหมืองแบบ “ชะละลาย”
เหมืองแร่เหล่านี้ใช้เทคนิค "in situ leaching" หรือวิธีการชะละลายแร่ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้สารเคมีฉีดผ่านท่อเข้าไปในภูเขาเพื่อแยกแร่แรร์เอิร์ธออกจากดิน ก่อนที่จะระบายสารเคมีเหล่านั้นไปยังบ่อเก็บ และเติมสารเคมีเพิ่มเติมเพื่อแยกแร่ในขั้นตอนต่อไป วิธีการนี้มีความเสี่ยงสูงในการปนเปื้อนน้ำผิวดินและน้ำใต้ดิน ซึ่งอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพของชาวบ้านและความมั่นคงด้านอาหารของชุมชนที่อาศัยอยู่ปลายน้ำ
หนึ่งในเหมืองที่เริ่มดำเนินการในปี 2565 ตั้งอยู่ทางใต้ของเมืองป้อกเพียง 3 กิโลเมตร ริมแม่น้ำปาย ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านพื้นที่เพาะปลูกและแหล่งอาศัยของประชาชนหลายพันคน ทำให้มีความเสี่ยงสูงที่แม่น้ำและน้ำใต้ดินในพื้นที่จะได้รับสารปนเปื้อนจากสารเคมีที่ใช้ในการทำเหมือง
น้ำท่วมใหญ่ปี '67 นำพาสารพิษจากเหมือง
ในช่วงพายุไต้ฝุ่นยางิ เดือนกันยายน 2567 เมืองป้อกประสบเหตุน้ำท่วมครั้งใหญ่ โดยมีน้ำไหลบ่าจากภูเขาโดยรอบเข้าท่วมตัวเมืองในระดับสูงถึงสามฟุต มีความเป็นไปได้สูงว่าน้ำที่ไหลท่วมเมืองในครั้งนั้นปนเปื้อนสารเคมีอันตรายจากพื้นที่เหมืองแร่ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาใกล้เคียง
รายงานของ "มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่" ระบุว่า เหมืองในพื้นที่เมืองป้อกตั้งอยู่บนพื้นที่ราบลุ่มระหว่างแม่น้ำสาละวิน และแม่น้ำโขง โดยน้ำเสียจากเหมืองไหลลงสู่แม่น้ำขา ทางตะวันตก ซึ่งไหลไปบรรจบกับแม่น้ำสาละวิน และไหลลงสู่แม่น้ำหลวย ทางตะวันออก ซึ่งไหลเข้าสู่แม่น้ำโขงบริเวณชายแดนรัฐฉาน-ลาว นั่นหมายความว่าการปนเปื้อนอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนทั้งในรัฐฉานและประเทศเพื่อนบ้าน แต่กลับไม่ส่งผลกระทบต่อจีน
ความเป็นไปได้ของการดำเนินงานอย่างไม่เป็นทางการ
รายงานระบุอีกว่า เหมืองแร่แรร์เอิร์ธใกล้เมืองป้อกไม่ปรากฏอยู่ในบัญชีรายชื่อเหมืองที่ได้รับใบอนุญาตอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลทหารพม่า (SAC) ที่เผยแพร่ล่าสุดในเดือนพฤศจิกายน 2564 ซึ่งอาจสะท้อนถึงการดำเนินกิจกรรมเหมืองแร่แบบไม่เป็นทางการ หรือเป็นความร่วมมือพิเศษระหว่างกองทัพว้าและจีน ที่ทำให้บริษัทเหมืองแร่จีนสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการอนุมัติจากทางการพม่า
ต่างจากพื้นที่ตอนใต้ของรัฐฉานที่ติดกับประเทศไทย ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพพม่า การดำเนินกิจการเหมืองในพื้นที่เหล่านั้นต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบและควบคุมโดยหน่วยงานทหารพม่า เช่นเหมืองในเมืองยอน ซึ่งมีรายงานว่าดำเนินการโดยได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลทหาร
จากหมู่บ้านเกษตร สู่ศูนย์กลางทุนจีน
เมืองป้อกซึ่งเคยเป็นเพียงหมู่บ้านเกษตรกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่และไทใหญ่ ได้ถูกพัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยกลายเป็น "พื้นที่พัฒนาพิเศษ" ที่เต็มไปด้วยตึกสูงและการลงทุนจากจีน
รายงานของ "มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่" เรื่อง “ติดกับดักนรก” ยังเปิดเผยอีกว่า เมืองป้อกเคยเป็นฐานปฏิบัติการสำคัญของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ การบังคับใช้แรงงาน และการทรมานเยาวชน ก่อนที่จีนจะเข้ามากวาดล้างแก๊งสแกมเมอร์ตามแนวชายแดนในช่วงปลายปี 2566
ข้อเรียกร้องจากองค์กรสิทธิมนุษยชน
"มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่" ใหญ่เรียกร้องให้มีการตรวจสอบผลกระทบจากการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในพื้นที่ดังกล่าวอย่างเร่งด่วน รวมถึงให้หยุดการขุดเจาะที่ไม่มีการควบคุม เนื่องจากส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ชีวิตความเป็นอยู่ และสุขภาพของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ปลายน้ำ รวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์ที่ไม่มีอำนาจต่อรองใดๆ
สถานการณ์ในรัฐฉานสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของสิทธิชุมชนและธรรมาภิบาลในพื้นที่ที่ถูกควบคุมโดยกลุ่มติดอาวุธ และเปิดช่องให้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของต่างชาติเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์โดยไม่รับผิดชอบต่อผลกระทบต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจน







