กรมอุทยานฯ ผนึกกำลัง ภายใต้กฎอัยการศึก ลาดตระเวนชายแดนไทย-กัมพูชา

อธิบดีกรมอุทยานฯ ลงพื้นที่แนวชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งเสริมความร่วมมือทุกภาคส่วนเพื่อความยั่งยืนด้านความมั่นคงและสิ่งแวดล้อม ปรับปรุงเส้นทางลาดตระเวนชายแดน ระยะทาง 324 กม.
KEY
POINTS
- อธิบดีกรมอุทยานฯ ลงพื้นที่แนวชายแดนไทย-กัมพูชา
- ส่งเสริมความร่วมมือทุกภาคส่วนเพื่อความยั่งยืนด้านความมั่นคงและสิ่งแวดล้อม
- ปรับปรุงเส้นทางลาดตระเวนชายแดน ระยะทาง 324 กม.
- ส่งเสริมความร่วมมือทุกภาคส่วนเพื่อความยั่งยืนด้านความมั่นคงและสิ่งแวดล้อม
เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2568 นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยงานภายใต้สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี) พร้อมเป็นประธานการประชุมร่วมกับฝ่ายความมั่นคง ณ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวผามออีแดง อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อหารือแนวทางสนับสนุนภารกิจความมั่นคงและคุ้มครองทรัพยากรป่าไม้ตามแนวชายแดนไทย -กัมพูชา
การประชุมดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ภายใต้ข้อสั่งการของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่มอบหมายให้กรมอุทยานฯ สนับสนุนภารกิจความมั่นคงควบคู่กับการดูแลรักษาทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าในพื้นที่อนุรักษ์ตามแนวชายแดนความยาว 324 กิโลเมตร
4 ข้อสรุปสำคัญจากการประชุม
1. ผนึกกำลังภายใต้กฎอัยการศึก
หน่วยงานในพื้นที่อนุรักษ์ชายแดนทั้ง 6 แห่ง จะสนับสนุนภารกิจฝ่ายความมั่นคงอย่างใกล้ชิด โดยเน้นลาดตระเวนร่วมและประสานงานในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติ
2. ปรับปรุงเส้นทางลาดตระเวนชายแดน
พื้นที่ในจังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ และสุรินทร์ จะมีการพัฒนาเส้นทางลาดตระเวนเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและฟื้นฟูผืนป่าอนุรักษ์
3. ยึดแนวเขตประเทศตามฝ่ายความมั่นคง
การกำหนดแนวเขตของป่าอนุรักษ์ต้องสอดคล้องกับเส้นเขตแดนที่ฝ่ายความมั่นคงกำหนด เพื่อความชัดเจนและลดปัญหาข้อพิพาท
4. เร่งจัดงบฯ เสริมขีดความสามารถภาคสนาม
เตรียมของบประมาณจัดหาอุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น โดรน, เครื่องตรวจวัตถุระเบิด, รถยนต์, วิทยุสื่อสาร และน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยง
นอกจากนี้ อธิบดีกรมอุทยานฯ ยังได้มอบเครื่องอุปโภคบริโภคเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่แนวชายแดน ณ ผามออีแดง อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร
การประชุมครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านทรัพยากรธรรมชาติกับฝ่ายความมั่นคง เพื่อให้เกิดทั้งความมั่นคงและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนต่อไป







