22 มิ.ย. 'วันป่าฝนโลก' เหมืองแร่-เกษตรพาณิชย์ กัดกินผืนป่าอย่างไม่หยุดยั้ง

ป่าฝนครอบคลุมเพียง 6% ของพื้นผิวโลก แต่เป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตถึง 50–80% เป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนขนาดใหญ่ และช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจก ปี 2024 เป็นปีที่มีการสูญเสียป่าดิบชื้นในเขตร้อนมากที่สุดในประวัติศาสตร์
KEY
POINTS
- ป่าฝนครอบคลุมเพียง 6% ของพื้นผิวโลก แต่เป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตถึง 50–80%
- เป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนขนาดใหญ่ และช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจก
- ปี 2024 เป็นปีที่มีการสูญเสียป่าดิบชื้นในเขตร้อนมากที่สุดในประวัติศาสตร์
- การประชุม COP30 จะจัดขึ้นที่เมืองเบเลง ประเทศบราซิล (พ.ย. 2025) เป็นครั้งแรกที่จัดในลุ่มน้ำแอมะซอน
- COP30 เน้นความสำคัญของป่าแอมะซอนทั้งในฐานะแหล่งกักเก็บคาร์บอน และพื้นที่เสี่ยงจากการตัดไม้ทำลายป่า
- ตลาดคาร์บอนสมัครใจในภาคป่า เปิดโอกาสให้ขายคาร์บอนเครดิตจากการไม่ตัดไม้หรือปลูกป่าทดแทน
วันนี้ทั่วโลกพร้อมใจกันเฉลิมฉลอง วันป่าฝนโลก (World Rainforest Day) ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 9 นับตั้งแต่ก่อตั้งโดยองค์กร Rainforest Partnership ในปี 2017 เพื่อย้ำเตือนถึงความสำคัญของป่าฝนในฐานะ “ปอดของโลก” ที่ช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ปล่อยออกซิเจน และเป็นแหล่งพึ่งพิงของสิ่งมีชีวิตนับล้านสายพันธุ์
ปีนี้วันป่าฝนโลกจัดขึ้นภายใต้ธีม “Planet Walkers” ซึ่งเป็นการเชิญชวนให้ผู้คนทั่วโลก “เดินไปกับป่า” ผ่านกิจกรรมถ่ายทอดสดระดับโลกที่มีการเดินป่าในพื้นที่ความหลากหลายทางชีวภาพสูง เช่น อเมซอน เคนยา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเทือกเขาแอลป์ โดยมีผู้นำชุมชนพื้นเมือง นักวิทยาศาสตร์ และเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าเป็นผู้นำทาง2
กิจกรรมนี้ไม่เพียงเป็นการถ่ายทอดภาพและเสียงจากธรรมชาติ แต่ยังเป็นการแสดงพลังร่วมกันของผู้คน เพื่อส่งสารถึงความจำเป็นในการอนุรักษ์ป่าฝนอย่างจริงจัง
บทบาทใหญ่ของป่าฝน
แม้ป่าฝนจะครอบคลุมเพียง 6% ของพื้นผิวโลก แต่กลับเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตบนบกถึง 50–80% และเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนขนาดใหญ่ที่ช่วยชะลอภาวะโลกร้อน
อย่างไรก็ตาม ในแต่ละปี โลกสูญเสียพื้นที่ป่าฝนมากถึง 78 ล้านเฮกเตอร์ หรือเทียบเท่าทั้งทวีปยุโรป โดย 61% ของการสูญเสียนี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินอย่างถาวร เช่น การเกษตรเชิงเดี่ยวและเหมืองแร่
การตัดไม้ทำลายป่าฝนปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณที่มากกว่าการปล่อยจากรถยนต์ทั้งหมดในสหรัฐฯ และจีนรวมกันถึง 15% ส่งผลให้เกิดภัยแล้ง น้ำท่วม ดินเสื่อมสภาพ และกระทบต่อชุมชนพื้นเมืองหลายสิบล้านคน
วิกฤตป่าฝนในปี 2025
รายงานจาก Global Forest Watch และมหาวิทยาลัยแมริแลนด์ระบุว่า ปี 2024 เป็นปีที่มีการสูญเสียป่าดิบชื้นในเขตร้อนสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะในบราซิลที่สูญเสียพื้นที่กว่า 25,000 ตารางกิโลเมตรจากไฟป่าและภัยแล้ง ขณะที่โบลิเวียมีอัตราการสูญเสียเพิ่มขึ้นเกือบ 5 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2020
ในภาพรวม การสูญเสียป่าดิบชั้นดีในเขตร้อนสูงถึง 6.7 ล้านเฮกเตอร์ และเป็นครั้งแรกที่ ไฟป่า กลายเป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียเหล่านี้
COP30 กับการจับตา 'ป่าแอมะซอน'
การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 30 (COP30) ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2025 ที่เมืองเบเลง ประเทศบราซิล อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการขับเคลื่อนด้านสิ่งแวดล้อมระดับโลก
นี่เป็นครั้งแรกที่เวทีสำคัญนี้จัดขึ้นในพื้นที่ลุ่มน้ำแอมะซอน สะท้อนบทบาทสองด้านของภูมิภาคนี้—ในฐานะแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่ช่วยรักษาสมดุลภูมิอากาศของโลก และในฐานะพื้นที่วิกฤตที่กำลังเผชิญกับการตัดไม้ทำลายป่าและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพอย่างรุนแรง
ท่ามกลางความล้มเหลวของคำมั่นสัญญาในการหยุดยั้งการตัดไม้ทั่วโลก และผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ผลลัพธ์จาก COP30 อาจเป็นปัจจัยชี้วัดทิศทางของการอนุรักษ์และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในทศวรรษต่อไป
ทางออกและความหวัง
- กฎ EUDR
กฎระเบียบว่าด้วยการป้องกันการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (European Union Deforestation Regulation – EUDR) ซึ่งประกาศใช้เมื่อปี 2022 ถือเป็นนโยบายสำคัญระดับประวัติการณ์ในการแก้ปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าทั่วโลก
อย่างไรก็ตามสหภาพยุโรปได้ประกาศเลื่อนการบังคับใช้กฎระเบียบในกลุ่มนี้ออกไปอีก เพื่อให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าสินค้ามีเวลาเตรียมตัวและปรับกระบวนการให้เป็นไปตามข้อกำหนดที่เข้มงวดมากขึ้น
กำหนดการเริ่มต้นใช้งาน EUDR
- วันที่ 29 มิถุนายน 2023 – กฎระเบียบมีผลบังคับใช้ แต่ยังไม่เริ่มบังคับใช้อย่างเข้มงวด
- วันที่ 30 ธันวาคม 2025 – เริ่มบังคับใช้กับ บริษัทขนาดกลางและใหญ่ เพื่อตรวจสอบความเข้ากันได้ของกระบวนการสืบย้อนแหล่งที่มา และยืนยันว่าสินค้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า
- วันที่ 30 มิถุนายน 2026 – เริ่มบังคับใช้กับ ธุรกิจขนาดเล็กและผู้ประกอบการรายย่อย ที่ได้รับเวลายืดหยุ่นเพิ่มขึ้น
กฎระเบียบนี้มุ่งควบคุมสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีความเชื่อมโยงกับการตัดไม้ เช่น เนื้อวัว โกโก้ กาแฟ น้ำมันปาล์ม ถั่วเหลือง และไม้ โดยกำหนดให้บริษัทต้องพิสูจน์ว่าสินค้าเหล่านั้น 'ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า' ผ่านการตรวจสอบย้อนกลับจากข้อมูลเชิงพื้นที่ และการดำเนินการตรวจสอบอย่างรอบด้าน (due diligence) ซึ่งถือเป็นข้อบังคับ หากฝ่าฝืนอาจเจอบทลงโทษ ตั้งแต่ค่าปรับไปจนถึงการห้ามจำหน่ายสินค้า
EUDR มีเป้าหมายในการลดแรงจูงใจทางเศรษฐกิจที่นำไปสู่การทำลายป่า พร้อมกระตุ้นการลงทุนในการฟื้นฟูป่า และการจัดการที่ดินอย่างยั่งยืนในระยะยาว
- ตลาดคาร์บอนสมัครใจในภาคป่า
ตลาดคาร์บอนสมัครใจในภาคป่า (Voluntary Carbon Market – Forest Sector) มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าฝน โดยเฉพาะในบริบทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพที่กำลังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
1. สร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจในการอนุรักษ์ป่า
ตลาดคาร์บอนสมัครใจเปิดโอกาสให้ชุมชน ท้องถิ่น หรือประเทศที่มีป่าฝนสามารถขาย “เครดิตคาร์บอน” จากการไม่ตัดไม้ หรือการปลูกป่าทดแทน
2. ชะลอการตัดไม้ทำลายป่า โครงการ REDD+ (Reducing Emissions from Deforestation and Forest Degradation) ซึ่งเป็นหัวใจของตลาดคาร์บอนภาคป่า ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนจากการตัดไม้ทำลายป่าในเขตร้อน
3. เชื่อมโยงภาคเอกชนกับการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมระดับโลก บริษัทต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกา ใช้เครดิตคาร์บอนจากโครงการป่าเพื่อชดเชยคาร์บอน (Carbon Offset) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย Net Zero
จุดเปลี่ยนสำคัญ ตลาดคาร์บอนสมัครใจ
ตลาดคาร์บอนสมัครใจ (Voluntary Carbon Market) อยู่ในภาวะวิกฤติสำคัญในปี 2025 เนื่องจากต้องปรับตัวเข้าสู่กรอบมาตรฐานใหม่ กฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง และปัญหาความเชื่อมั่นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
คณะกรรมการตรวจสอบความครบถ้วนของตลาดคาร์บอนสมัครใจ (Integrity Council for the Voluntary Carbon Market – ICVCM) ได้อนุมัติ 3 แนวทางปฏิบัติตามหลักการสำคัญของ Core Carbon Principles (CCP) เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่เครดิต REDD+ ซึ่งเป็นกลไกการลดการตัดไม้ทำลายป่า
ซึ่งรวมถึงมาตรฐาน ART TREES และ 2 กรอบงานของ Verra ที่ได้รับการรับรองตาม CCP ทั้งหมดนี้คาดว่าจะสามารถออกเครดิต CCP‑label ได้จำนวนมากตั้งแต่ต้นปี 2025 ช่วยเติมความเชื่อมั่นให้ตลาดคาร์บอนซึ่งก่อนหน้านั้นเคยประสบภาวะราคาตกลงสูงถึง 61% ในปี 2023
รูป: Eutah Mizushima/unsplash