Gen Z นำเทรนด์ใช้ 'รีฟิล' ลอรีอัลผนึกแบรนด์ดัง ดันแพ็กเกจแบบเติม ถูก-ยั่งยืน

บริษัทต่าง ๆ หันมาใช้บรรจุภัณฑ์รีฟิลเพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ 69% ของผู้บริโภคกลุ่ม Gen Z มองหาแบรนด์ที่มีความยั่งยืนจริงจัง
KEY
POINTS
- บริษัทต่างๆ หันมาใช้บรรจุภัณฑ์รีฟิลเพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืน และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ
- NielsenIQ ชี้ว่า 56% ของผู้บริโภคให้ความสำคัญกับบรรจุภัณฑ์ใช้ซ้ำ/เติมได้
- 69% ของผู้บริโภคกลุ่ม Gen Z มองหาแบรนด์ที่มีความยั่งยืนจริงจัง
- การเปลี่ยนเพียง 20% ของบรรจุภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียวทั่วโลก เป็นระบบใช้ซ้ำ อาจสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจถึง 10,000 ล้านดอลลาร์ (ข้อมูลจาก UNEP)
- ลอรีอัลเปิดแคมเปญระดับโลก #JoinTheRefillMovement ตอบรับวิกฤติขยะบรรจุภัณฑ์และแนวโน้มผู้บริโภค
- น้ำหอม Idôle ขนาด 100 มล. แบบรีฟิล ช่วยลดแก้ว 42%, พลาสติก 11%, โลหะ 66%, กระดาษแข็ง 30% และประหยัดเงิน 11%
บรรจุภัณฑ์แบบเติมได้ (refill) กลายมาเป็นข้อได้เปรียบทางธุรกิจ และกำลังปรับเปลี่ยนแนวทางการจัดการบรรจุภัณฑ์ของบริษัทต่างๆ เพราะเป็นวิธีช่วยให้บริษัทต่างๆ บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน พร้อมทั้งขับเคลื่อนการเติบโต ด้วยความต้องการของผู้บริโภค
ข้อมูลของ NielsenIQ พบว่า ผู้บริโภค 56% ให้ความสำคัญกับบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำหรือเติมซ้ำได้เมื่อต้องตัดสินใจซื้อ และผู้ซื้อ Gen Z 69% มองหาแบรนด์ที่ยั่งยืนอย่างจริงจัง
ขณะที่รายงานของ Trivium Packaging ระบุว่า กลุ่ม Gen Z มีแนวโน้มที่จะไม่กลับไปซื้อสินค้าจากร้านค้านั้นอีก หากบรรจุภัณฑ์ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ การเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์แบบรีฟิล 20% ให้เป็นระบบที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ทั่วโลกอาจปลดล็อกโอกาสทางเศรษฐกิจมูลค่า 10,000 ล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP)
และ Towards Packaging ระบุว่า ตลาดบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำและเติมซ้ำได้ทั่วโลกมีมูลค่า 46,590 ล้านดอลลาร์ในปี 2025 และคาดว่าจะเติบโตถึง 64,250 ล้านดอลลาร์ในปี 2034 โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) 4.1%
ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ การตระหนักรู้ของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นและกรอบการกำกับดูแล เช่น ข้อบังคับด้านบรรจุภัณฑ์และขยะบรรจุภัณฑ์ (Packaging Waste Regulation : PPWR) ของสหภาพยุโรป ซึ่งกำหนดให้มีเป้าหมายในการใช้ซ้ำสำหรับหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์บางประเภท
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบรรจุภัณฑ์แบบรีฟิลยังคิดเป็นเพียง 4–5% ของยอดขายบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดทั่วโลก เท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ ลอรีอัล กรุ๊ป ได้เปิดตัวแคมเปญระดับโลก #JoinTheRefillMovement เพื่อผลักดันให้ผู้บริโภคทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย ตระหนักถึงผลกระทบจากบรรจุภัณฑ์ที่ใช้แล้วทิ้ง และหันมาเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ในรูปแบบ "เติมซ้ำ" หรือรีฟิล แทนการซื้อบรรจุภัณฑ์ใหม่ในทุกครั้ง
แม้แคมเปญนี้จะเปิดตัวขึ้นเนื่องในวัน World Refill Day (16 มิถุนายน) ซึ่งเป็นวันสำคัญในการขับเคลื่อนแนวคิดการใช้ซ้ำทั่วโลก แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังไม่ใช่แค่กิจกรรมรายปี หากแต่เป็นการตอบสนองต่อพฤติกรรมผู้บริโภคที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และแรงกดดันจากปัญหาขยะบรรจุภัณฑ์ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในทุกภูมิภาคของโลก
แคมเปญนี้เน้นการใช้สื่อและคอนเทนต์บนโซเชียลมีเดีย และใช้แฮชแท็ก #JoinTheRefillMovement เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคเข้ามามีบทบาทและขยายแรงสนับสนุนในวงกว้าง
และเป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจเพื่อความยั่งยืนของลอรีอัลในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยนำเสนอทางเลือกผลิตภัณฑ์ที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้แก่ผู้บริโภค ซึ่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ลอรีอัล กรุ๊ป ได้ปรับกระบวนการผลิตในโรงงานทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้มีผลิตภัณฑ์แบบรีฟิลเพิ่มขึ้นถึง 17 เท่า ที่รวมถึงผลิตภัณฑ์น้ำหอมชายและหญิงยอดนิยมระดับโลกหลายรายการ
ชวนแบรนด์ดังร่วมขับเคลื่อน
แคมเปญนี้รวมแบรนด์ในเครือชั้นนำอย่าง ลังโคม (Lancôme), อาร์มานี่ บิวตี้ (Armani beauty), อีฟส์ แซ็งต์ โลร็องต์ โบเต้ (Yves Saint Laurent Beauté), คีลส์ (Kiehl’s), ลอรีอัล ปารีส (L’Oréal Paris), เคเรสตาส (Kérastase), ลอรีอัล โปรเฟสชั่นแนล (L’Oréal Professionnel), เซราวี (CeraVe) และ ลา โรช-โพเซย์ (La Roche-Posay)
พร้อมพันธมิตรค้าปลีกทั่วโลก เชิญชวนผู้บริโภคหันมาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ในรูปแบบรีฟิล เช่น น้ำหอม ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ผม และเครื่องสำอาง
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การเลือกน้ำหอมแบบรีฟิลรุ่น Idôle ขนาด 100 มล. จาก Lancôme แทนการซื้อขวดใหม่ขนาด 50 มล. 2 ขวด สามารถลดการใช้แก้วได้ถึง 42% พลาสติก 11% โลหะ 66% และกระดาษแข็ง 30% ทั้งยังประหยัดค่าใช้จ่ายลง 11% สะท้อนว่าแนวทางนี้ไม่เพียงดีต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังคุ้มค่าในระยะยาว
ผู้บริโภคพร้อม แต่ยังขาดองค์ความรู้
ลอรีอัล เผยว่า แม้ 78% ของผู้บริโภค แสดงความสนใจที่จะเปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์แบบเติมซ้ำ แต่ความเปลี่ยนแปลงยังเดินหน้าได้ไม่เต็มที่ เนื่องจากหลายคนยัง “ไม่รู้” ว่าตัวเลือกรีฟิลมีอยู่จริง—ทั้งที่มันสามารถช่วยลดขยะ ลดการใช้ทรัพยากร และยังประหยัดกว่าในระยะยาว
ดังนั้น การสื่อสารที่ยังไม่ทั่วถึงพอ จึงทำให้ผลิตภัณฑ์รีฟิลยังคงอยู่ในวงจำกัด ทั้งที่มีศักยภาพในการเป็นทางออกที่แท้จริงของวิกฤติบรรจุภัณฑ์ในปัจจุบัน
"บลังก้า จูที" (Blanca Juti) ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการองค์กรและสื่อสารสัมพันธ์ของลอรีอัล กรุ๊ป กล่าวถึงแคมเปญใหม่นี้ว่า เป็นการรวมพลังของแบรนด์ระดับไอคอนจากทั่วโลก เพื่อชวนให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมใน #JoinTheRefillMovement ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่แฮชแท็ก แต่คือการส่งสารว่าการใช้รีฟิลสามารถกลายเป็นเรื่องง่าย คุ้มค่า และเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรความงามในชีวิตประจำวันของทุกคนได้อย่างกลมกลืน
ปริมาณขยะโลกสูงเกินกว่าทุกคนจะนิ่งเฉย
ข้อมูลจากหลายหน่วยงานทั่วโลกระบุว่า
- ขยะบรรจุภัณฑ์คิดเป็น ประมาณ 40% ของขยะพลาสติกทั่วโลก (เช่น 37% ในสหรัฐฯ, 38% ในยุโรป, 45% ในจีน)
- โลกสร้างขยะพลาสติกถึง 220 ล้านตันในปี 2024 หรือเฉลี่ยคนละ 28 กิโลกรัมต่อปี
- มีเพียง 14% ของบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ได้รับการรีไซเคิล
- ขณะที่โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ระบุว่า การลดขยะพลาสติกอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องผลักดันให้มีการใช้บรรจุภัณฑ์แบบใช้ซ้ำอย่างน้อย 30–50% ภายในปี 2040
"เอซกี้ บาร์เซนาส" (Ezgi Barcenas) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายความรับผิดชอบต่อสังคมของลอรีอัล ย้ำว่า การจะเปลี่ยนแปลงระบบบรรจุภัณฑ์ในระดับอุตสาหกรรม ต้องใช้มากกว่านวัตกรรม—ต้องอาศัยทั้งวิสัยทัศน์ ความตั้งใจ และการลงมือทำจริง ลอรีอัลจึงดึงทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อน ทั้งแบรนด์ในเครือ พันธมิตรธุรกิจ และผู้บริโภค เพื่อเปลี่ยน “การเติม” ให้กลายเป็น "วิถีใหม่" ของอุตสาหกรรมความงาม







