ตลาดกรีนโต กูรูชวนสตาร์ทอัพไทย สร้างนวัตกรรมจำเป็น ลดคาร์บอนธุรกิจซีเมนต์

ตลาดกรีนโต กูรูชวนสตาร์ทอัพไทย สร้างนวัตกรรมจำเป็น ลดคาร์บอนธุรกิจซีเมนต์

NIA ร่วมกับ UNIDO เปิดเวทีให้สตาร์ทอัพ นักพัฒนาเทคโนโลยี และผู้ประกอบการ ร่วมสร้างนวัตกรรมเพื่อช่วยลดคาร์บอนในอุตสาหกรรม 4 ความท้าทายหลักในการลดคาร์บอน : ลดถ่านหิน ลดการใช้ไฟฟ้า วัสดุทดแทนปูนเม็ด และเทคโนโลยี CCUS

KEY

POINTS

  • อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และคอนกรีตมีบทบาทสำคัญในการลดพลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
  • NIA ร่วมกับ UNIDO เปิดเวทีให้สตาร์ทอัพ นักพัฒนาเทคโนโลยี และผู้ประกอบการ ร่วมสร้างนวัตกรรมเพื่อช่วยลดคาร์บอนในอุตสาหกรรม
  • หาสตาร์ทอัพต้องมีจุดต่างและตอบโจทย์อุตสาหกรรมอย่างแท้จริง
  • 4 ความท้าทายหลักในการลดคาร์บอน : ลดถ่านหิน ลดการใช้ไฟฟ้า วัสดุทดแทนปูนเม็ด และเทคโนโลยี CCUS

ภาคอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และคอนกรีตนับเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศ โดยมีบทบาทชัดเจนทั้งในด้านการลดการใช้พลังงาน การพัฒนาและใช้วัสดุก่อสร้างทางเลือก ตลอดจนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญที่ไทยตั้งเป้าลดให้ได้ 30% ภายในปี 2573 ภายใต้กรอบข้อผูกพัน NDC (Nationally Determined Contribution)

หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ คือการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยและสตาร์ทอัพไทยนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาช่วยจัดการปัญหาคาร์บอนในภาคการผลิต พร้อมวางรากฐานสู่อุตสาหกรรมที่ยั่งยืนในระยะยาว

ด้วยเหตุนี้ โครงการ "Innovation Acceleration Programme for Decarbonization of the Cement and Concrete Industries" โดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ที่ผนึกกำลังกับ องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) จึงเปิดพื้นที่ให้ผู้ประกอบการ สตาร์ทอัพ และนักพัฒนาเทคโนโลยี ได้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมไปสู่ยุคแห่งความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม

โครงการนี้เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือและได้รับงบประมาณสนับสนุน 8 ล้านดอลลาร์แคนาดา (มีมูลค่าประมาณ 190 ล้านบาทไทย) จากสำนักงานโครงการบริการด้านการจัดซื้อขององค์การสหประชาชาติ (UNOPS) และกระทรวงสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของแคนาดา (ECCC)

UN หนุนไทยลดปล่อยมลพิษ

“ศุภฤกษ์ คณาสุข” ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค Decarbonization of Cement and Concrete Sectors in Thailand องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) กล่าวว่า อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และคอนกรีตเป็นหนึ่งในห้าอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดการปล่อยมลพิษสูงทั่วโลก

โดยเฉพาะการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และเหล็กกล้ารวมกันคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 14-16% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก และสำหรับประเทศไทยเองอยู่ที่ประมาณ 7% ขึ้นไป ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูง

แม้ว่าอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และคอนกรีตในประเทศไทยจะดำเนินมาตรการต่างๆ รวมถึงการประหยัดพลังงานมานานเกือบ 20 ปี แต่ตัวเลขการปล่อยมลพิษก็ยังคงอยู่ในระดับสูง

หากเราสามารถเข้ามาช่วยส่งเสริมและสนับสนุน โดยดึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นสมาคมปูนซีเมนต์ สมาคมคอนกรีต หรือสมาคมก่อสร้าง ให้เข้ามาทำงานร่วมกัน ก็จะเกิดประโยชน์อย่างยิ่งและสามารถนำไปสู่เป้าหมายร่วมกันที่เราต้องการได้

ในฐานะที่ UNIDO เป็นหน่วยงานสนับสนุนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และคอนกรีต จึงเสริมสร้างขีดความสามารถในด้านต่างๆ เพื่อมุ่งสู่การลดการปล่อยคาร์บอน สำหรับผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ

"เราเชื่อว่า หากสามารถเข้ามาช่วยส่งเสริมและสนับสนุน โดยการดึงทุกหน่วยงานและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นสมาคมปูน สมาคมคอนกรีต และสมาคมก่อสร้าง เข้ามาร่วมมือกันทำงาน จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งและสามารถนำไปสู่จุดหมายที่เราต้องการร่วมกันได้"

“ศุภฤกษ์" แนะนำว่า นอกเหนือจากคำว่า 'โอกาส' และ 'นวัตกรรม' อีกหนึ่งคำที่สำคัญสำหรับกลุ่มสตาร์ทอัพคือ 'ความเชื่อ' ทุกคนต้องมีความเชื่อมั่นในตนเองจึงจะสามารถทำให้สิ่งต่างๆ สำเร็จได้

เปิดโอกาสสตาร์ทอัพสร้างนวัตกรรม

"ดร.ชัยธร ลิมาภรณ์วณิชย์" ผู้อำนวยการฝ่ายยุทธศาสตร์นวัตกรรม NIA เผยว่า อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และคอนกรีตเป็นอุตสาหกรรมที่มีทั้งโอกาสและความท้าทาย

ความท้าทายคือเป็นอุตสาหกรรมที่เก่าแก่ มีมานานกว่า 200 ปีทั่วโลก และกว่า 100 ปีในไทย ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 โดยมี SCG เป็นบริษัทแรกๆ นอกจากนี้ ยังถือเป็นอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ แต่มีกำไรหรือมูลค่าเพิ่มในเชิงรายได้ค่อนข้างน้อย

อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมนี้ก็มีโอกาส เนื่องจากผู้ประกอบการหลัก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ผลิตปูนซีเมนต์ ถือเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีความกระตือรือร้นสูงในประเด็นการลดคาร์บอน

สมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย (TCMA) และสมาคมคอนกรีตแห่งประเทศไทย (TCA) ถือเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมแรกๆ ที่มีการกำหนดเป้าหมายและแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพร้อมและแนวคิดเชิงบวกในการขับเคลื่อนตรงจุดนี้

“ความท้าทายและโอกาสเหล่านี้ ทำให้เห็นว่านวัตกรรมสามารถเข้ามาช่วยปลดล็อกความท้าทายต่างๆ ได้ และเมื่อมีปัจจัยสนับสนุนอย่างกลุ่มอุตสาหกรรมที่พร้อมขับเคลื่อนเช่นนี้ จึงเป็นโอกาสสำคัญสำหรับสตาร์ทอัพและโครงการเร่งการเติบโต ที่จะเข้ามาพัฒนาโซลูชันเพื่อตอบสนองความต้องการตรงจุดนี้”

"ดร.ชัยธร" ยังได้กล่าวถึงโอกาสในการร่วมมือกับผู้พัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีว่า เราเปิดรับสตาร์ทอัพหรือนักวิจัยที่มีเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง แต่ได้ให้ข้อคิดว่า "คำถามแรกที่เราจะถามคือ คุณแตกต่างจากคู่แข่งรายอื่นอย่างไร? เพราะมีหลายรายทั่วโลกที่ทำเรื่องนี้อยู่แล้ว" โดยเน้นย้ำว่าผู้ประกอบการต้องมองหาสิ่งที่แตกต่างและตอบโจทย์ความต้องการของอุตสาหกรรมได้อย่างแท้จริง

"สิ่งสำคัญคือ การร่วมมือกันเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ไม่ใช่การแข่งขันกันในช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงนี้ NIA สนับสนุนการร่วมมือกันภายในอุตสาหกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาและขับเคลื่อนเป้าหมาย Net Zero โดยมองว่าเป็นการสนับสนุนในระดับชาติ โดยหากประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว การแข่งขันจะค่อยตามมาในภายหลัง

4 ความท้าทาย ลดซีเมนต์ ปล่อยคาร์บอน

"มนสิช สาริกะภูติ" คณะทำงาน สมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย (TCMA) ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี กล่าวว่า สมาคมผู้ผลิตปูนซีเมนต์ และสมาคมคอนกรีตทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อร่วมกันกำหนด Road Map สู่ Net Zero ในปี 2050 สำหรับอุตสาหกรรมไทย

"เราไม่สามารถแยกกันได้ เพราะส่วนใหญ่ซีเมนต์จะถูกนำไปใช้ในคอนกรีต ซึ่งเป็นเหมือนการถูกบังคับให้แต่งงานกันและต้องไปด้วยกัน"

“มนสิช” ได้ชี้ถึง 4 ความท้าทายหลักและแนวทางการดำเนินงานเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน ว่ามีดังนี้

1. การลดการใช้ถ่านหิน : ปัจจุบันการผลิตซีเมนต์ยังคงใช้ถ่านหินซึ่งเป็นแหล่งปล่อย CO2 สำคัญ ผู้ผลิตทุกรายได้เริ่มใช้เชื้อเพลิงทางเลือก เช่น ชีวมวลและขยะชุมชน

อย่างไรก็ตาม การทดแทนปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 30% และการเพิ่มสัดส่วนให้มากกว่านี้เป็นเรื่องยาก ดังนั้น จึงมองหานวัตกรรมที่สามารถแปลงชีวมวลหรือขยะชุมชนให้เป็นเชื้อเพลิงที่ใกล้เคียงกับถ่านหินหรือก๊าซ

2. การลดการปล่อย Scope 2 : ในส่วนของการใช้พลังงานไฟฟ้า ผู้ผลิตบางรายเริ่มใช้โซลาร์เซลล์ แต่ยังคงมีปัญหาเรื่องการจัดเก็บพลังงานสำรองในเวลากลางคืนด้วยแบตเตอรี่ ซึ่งมีราคาสูง

3. วัสดุทดแทนปูนเม็ด : อุตสาหกรรมยังคงมองหาวัสดุทดแทนปูนเม็ด เช่น เถ้าลอย (fly ash) หรือแอร์สแลก (air-cooled slag) อย่างไรก็ตาม วัสดุทดแทนปูนเม็ดยังเป็นสิ่งที่ทั่วโลกยังหาตัวทดแทนที่สมบูรณ์แบบไม่ได้

4. เทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Technology) : สำหรับก๊าซ CO2 ที่ยังคงหลงเหลืออยู่หลังปี 2030 จะต้องพึ่งพาเทคโนโลยี Carbon Capture, Utilization, and Storage (CCUS)

ซึ่งในประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงของการศึกษาความเป็นไปได้ โดยร่วมมือกับ ปตท. ในการหาแหล่งกักเก็บ นอกจากนี้ เทคโนโลยีไฮโดรเจนก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญสำหรับกระบวนการทางเคมีในอนาคต

นวัตกรรมจำเป็น ที่มองหาจากสตาร์ทอัพ

"ปกรณ์ สุทธิวารี" กรรมการอำนวยการฝ่ายเทคโนโลยี และสารสนเทศ สมาคมคอนกรีตแห่งประเทศไทย (TCA) เผยว่า บทบาทของสมาคมคอนกรีตแห่งประเทศไทยในฐานะสมาคมวิชาการที่เน้นการให้ความรู้ โดยชี้ว่า อุตสาหกรรมคอนกรีตนั้นใกล้ชิดกับผู้บริโภคและมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่แนวทางที่ยั่งยืน รวมถึงการริเริ่มลดคาร์บอน

ผู้เล่นในธุรกิจคอนกรีตมีจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ผลิตรายย่อยที่มักไม่มีงบประมาณสำหรับงานวิจัยและพัฒนาขนาดใหญ่เท่าบริษัทซีเมนต์ขนาดใหญ่ โครงการ "Innovation Acceleration Programme for Decarbonization of the Cement and Concrete Industries" จึงเป็นช่องทางสำคัญที่สร้างโอกาสให้กับสตาร์ทอัพเข้ามาพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ

"ปกรณ์" แนะนำตัวอย่างแนวทางลดคาร์บอนในอุตสาหกรรมคอนกรีตที่สตาร์ทอัพสามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ดังนี้

• การใช้วัสดุทดแทนปูนซีเมนต์ : สามารถทำได้โดยใช้วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น เท่ากะลาปาล์ม ซึ่งปัจจุบันมีงานวิจัยรองรับและได้รับการรับรองเป็นมาตรฐาน มก. แล้ว แต่ยังขาดผู้รวบรวมเพื่อจำหน่ายในปริมาณที่เพียงพอ

จึงเป็นโอกาสสำหรับสตาร์ทอัพในการบริหารจัดการวัสดุชนิดนี้ นอกจากนี้ เท่าชานอ้อยจากมหาวิทยาลัยนเรศวรกำลังอยู่ระหว่างการวิจัย เพื่อใช้ทดแทนเถ้าลอยที่มาจากถ่านหิน ซึ่งในอนาคตจะลดการใช้งานลงเนื่องจากการลดและเลิกใช้ถ่านหิน

การทดแทนมวลรวม (หิน-ทราย) : เนื่องจากปัจจุบันมีการจำกัดการดูดทรายแม่น้ำ และการใช้ทรายบกส่งผลต่อการสูญเสียพื้นที่การเกษตร จึงเกิดโอกาสในการนำ 'หินฝุ่น' ที่เหลือจากการระเบิดหินมาปรับปรุงคุณภาพเพื่อใช้ทดแทนทรายได้ ถือเป็นการประยุกต์ใช้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน

นอกจากนี้ เทคโนโลยีการรีไซเคิลคอนกรีตเหลือใช้จากหน้างานเพื่อแยกหินและทรายกลับมาใช้ใหม่ก็เป็นอีกหนึ่งโอกาส หากสตาร์ทอัพสามารถพัฒนาเทคโนโลยีที่ทำให้วัสดุรีไซเคิลมีคุณภาพสูงพอที่จะใช้กับคอนกรีตคุณภาพสูงได้

น้ำยาผสมคอนกรีต : เทคโนโลยีน้ำยาผสมคอนกรีตสมัยใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มโพลิคาร์บอกซิลเลต สามารถลดปริมาณน้ำในการผสมได้ถึง 20-40% ซึ่งเป็นประสิทธิภาพที่สูงกว่าน้ำยาแบบเดิมมาก

เครื่องจักรและกระบวนการผลิต : การปรับปรุงเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตคอนกรีตให้ใช้กำลังไฟฟ้าที่เหมาะสมและมีกระบวนการที่ดีขึ้นก็เป็นอีกหนึ่งโอกาส

การขนส่งและโลจิสติกส์ : คอนกรีตผสมเสร็จมีลักษณะคล้าย 'ของสด' ที่ต้องใช้ภายในระยะเวลาจำกัด การพัฒนาแอปพลิเคชันหรือระบบขนส่งที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพเพื่อลดต้นทุนการขนส่งจึงเป็นสิ่งจำเป็นและเป็นโอกาสสำหรับสตาร์ทอัพ

การทดสอบคอนกรีตแบบไม่ทำลาย (Non-Destructive Testing - NDT) : แทนที่จะเป็นการทดสอบด้วยการทำลายตัวอย่างคอนกรีต การฝังเซ็นเซอร์เพื่อวัดกำลังคอนกรีตได้โดยตรงโดยไม่ทำลายโครงสร้างจริง ถือเป็นนวัตกรรมที่น่าสนใจอย่างยิ่ง และเป็นโอกาสสำหรับผู้เล่นในอุตสาหกรรม IoT หรือผู้ที่พัฒนาอุปกรณ์เซ็นเซอร์ ที่ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมคอนกรีตหรือซีเมนต์มาก่อนก็สามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้

โอกาสในธุรกิจคอนกรีตมีอยู่มากมายในทุกส่วน และการพัฒนาเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมเพื่อลดคาร์บอนในอุตสาหกรรมนี้ ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมมาอย่างยาวนานถึง 20 ปี สิ่งสำคัญคือการทำงานร่วมกันกับผู้เชี่ยวชาญ และบริษัทที่เปิดกว้าง พร้อมให้สตาร์ทอัพเข้ามาตรวจสอบ (validate) หรือทดสอบ (test) แนวคิดใหม่ๆ