“ล็อกซเล่ย์”ลดขยะตั้งแต่ต้นทาง แปรรูปสู่ “ปุ๋ยอินทรีย์” คุณภาพสูง

“ล็อกซเล่ย์”ลดขยะตั้งแต่ต้นทาง    แปรรูปสู่ “ปุ๋ยอินทรีย์” คุณภาพสูง

ทุกมื้อที่เรารับประทานอาหารไม่หมด หลายคนอาจนึกไม่ถึงว่า เศษอาหารที่เราเททิ้งทุกวันกำลังสร้างปัญหาใหญ่ให้กับโลกใบนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการสูญเสียทรัพยากรเท่านั้น

 แต่ยังเป็นต้นตอสำคัญของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่กำลังผลักดันให้โลกของเราร้อนขึ้นทุกวัน

ตัวเลขจากกรมควบคุมมลพิษชี้ให้เห็นว่า ขยะเศษอาหารในประเทศไทยคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 40% ของขยะทั้งหมด และส่วนใหญ่ถูกนำไปฝังกลบหรือเผาทำลาย ซึ่งนอกจากจะสูญเสียทรัพยากรที่มีค่าอย่างน่าเสียดาย เศษอาหารที่ถูกฝังกลบเหล่านี้ จะเกิดกระบวนการย่อยสลายในสภาพปราศจากอากาศ ส่งผลให้เกิดการปล่อยก๊าซมีเทน (CH₄) ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีความรุนแรงมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 28 เท่าในการกักเก็บความร้อน

จากปัญหาเรื่องขยะที่เป็นปัญหาหลัก ทั้งขยะพลาสติก ขยะกระดาษ โดยเฉพาะขยะเศษอาหารที่มีมากกว่า 50,000 กิโลกรัมต่อปี (50 ตัน) ที่เป็นภาระในการบริหารจัดการ บมจ.ล็อกซเล่ย์ ที่เป็นหน่วยเล็กๆ ในสังคม พยายามเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และรับผิดชอบต่อสังคม ได้เดินหน้าพยายามในการลดปริมาณขยะที่จะนำสู่การฝังกลบให้เหลือน้อยที่สุด

บมจ.ล็อกซเล่ย์ ได้จัดกิจกรรมรณรงค์ลดปริมาณขยะตั้งแต่ต้นทาง ด้วยแนวคิดลดการใช้ทรัพยากรที่ไม่จำเป็น สนับสนุนการนำกลับมาใช้ซ้ำ และคัดแยกขยะเพื่อนำสู่กระบวนการรีไซเคิล ในปีที่ผ่านมาเราสามารถนำขยะเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้กว่า 10,000 กิโลกรัม ทั้งขยะพลาสติก ขยะกระดาษ และขยะรีไซเคิลอื่น และที่สำคัญคือการเดินหน้าจัดการคัดแยกขยะเศษอาหาร ที่มากกว่าเดือนละ 2,000 กิโลกรัม ซึ่งขยะเศษอาหารเหล่านี้มาจากการบริโภคของพนักงานในสำนักงาน การจัดเลี้ยง การขายอาหารในแคนทีนและร้านอาหารของบริษัทในบริเวณอาคารสำนักงานใหญ่ ถือเป็นสัดส่วนเกือบร้อยละ 50 ของขยะทั้งหมดในองค์กร

ภายใต้แนวคิดที่ว่า เศษอาหารไม่ใช่ “ขยะ” แต่เป็น “ทรัพยากร” ที่รอการใช้ประโยชน์ ที่สามารถแปรรูปกลับคืนสู่ธรรมชาติในรูปแบบของปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงได้

ล็อกซเล่ย์จึงเลือกแนวทางการบริหารจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการติดตั้งเครื่องแปลงขยะเศษอาหารเป็นปุ๋ย ด้วยกระบวนการชีวภาพเพื่อย่อยสลายขยะเศษอาหารแปลงเป็นปุ๋ยอินทรีย์ พร้อมจัดทำโรงเรือนที่ติดตั้ง Solar Rooftop เพื่อตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนในหลายมิติ คือ (1) สร้างวัฒนธรรมและสื่อสารเรื่องการคัดแยกขยะให้กับพนักงานของเรา เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกด้านการดูแลสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน (2) กระตุ้น สนับสนุนความร่วมมือของคนในองค์กรผ่านกิจกรรม (3) สามารถลดปริมาณขยะสู่การฝังกลบ เพียงแค่ระยะเวลา 4 เดือนของการเริ่มโครงการ สามารถลดปริมารขยะสู่การฝังกลบได้ถึง 33% ของปริมาณขยะทั้งหมด (4) เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนในองค์กรจากการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ผ่าน Solar Rooftop และ (5) ส่งต่อความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม จากปุ๋ยอินทรีย์ที่ได้รับจากการย่อยสลายขยะเศษอาหารเพื่อประโยชน์ทางการเกษตร บำรุงต้นไม้และคืนความเขียวให้กับชุมชนโดยรอบ

ภายในระยะเวลาเพียง 9 เดือนหลังจากติดตั้งเครื่องแปลงขยะเศษอาหารเป็นปุ๋ย บริษัทสามารถผลิตปุ๋ยอินทรีย์ได้แล้ว 4,250 กิโลกรัม หรือเฉลี่ยประมาณ 473 กิโลกรัมต่อเดือน แปรรูปมาจากเศษอาหารกว่า 16,000 กิโลกรัม หรือ 16 ตัน ซึ่งปุ๋ยอินทรีย์เหล่านี้เป็นวิตามินบำรุงพืชมีประสิทธิภาพมากสูง ที่ได้รับการตรวจประเมินปริมาณแร่ธาตุสารอาหารที่จำเป็นต่อการเติบโตของพืช สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งภายในและภายนอกองค์กร

ที่ผ่านมา บริษัทได้ส่งมอบปุ๋ยอินทรีย์ให้กับหน่วยงานต่างๆไปแล้วหลายแห่ง อาทิ กรุงเทพมหานคร จำนวน 2,300 กิโลกรัม สำนักงานเขตคลองเตย จำนวน 2,500 กิโลกรัม วิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ สวนฟุ้งขจร จังหวัดปทุมธานีจำนวน 1,100 กิโลกรัม โรงเรียนสาธิตบางนา จำนวน 300 กิโลกรัม และจัดทำเป็นของที่ระลึกสำหรับประชาสัมพันธ์ ส่งมอบเป็นของขวัญสำหรับเทศกาล โอกาสต่างๆ ในนามบริษัทและบริษัทในเครือ เพื่อสร้างเครือข่ายพันธมิตรด้านความยั่งยืน ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมสีเขียว ไปพร้อมๆกับสนับสนุนให้พนักงานปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับโลกของเรา

นอกจากนี้ ล็อกซเล่ย์ยังสนับสนุนสินค้ากรีนต่าง ๆ จากเกษตรอินทรีย์ ผ่านกิจกรรมกรีนมาร์เก็ต ที่จัดขึ้นทุกไตรมาส เพื่อเป็นช่องทางให้สินค้าเกษตรอินทรีย์จากวิสาหกิจชุมชน จากสำนักงานเขตที่ใช้ปุ๋ยวิตามินบำรุงพืช ได้เข้ามาจำหน่ายในตลาดนัดกรีนมาร์เก็ต

ในอนาคตบริษัทมีแผนที่จะขยายความร่วมมือด้านความยั่งยืนไปสู่พันธมิตรผู้มีส่วนได้เสียภายนอกเพิ่มเติม ทั้งการทำกิจกรรมให้ความรู้ด้านการคัดแยกขยะในโรงเรียน และชุมชนโดยรอบ การจัดกิจกรรมร่วมกับคู่ค้า พันธมิตรธุรกิจด้านการบริหารจัดการขยะ เป็นต้น โดยมุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ เพราะเราเชื่อว่า โลกแห่งความยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้จากความร่วมมือและการเดินหน้าไปด้วยกันของทุกฝ่าย