รัฐ-เอกชนรวมพลัง เปิดแผนปฏิบัติการ Road to Net Zero ทางรอดเศรษฐกิจ ยุคโลกร้อน

โลกกำลังเผชิญวิกฤตภูมิอากาศและผลกระทบสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลายเป็นปัญหาระดับโลกที่ต้องเร่งแก้ไข รัฐบาลและภาคเอกชนร่วมขับเคลื่อนแนวทางการเติบโตที่ยั่งยืน ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม พลังงาน และเมืองยั่งยืนร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง
KEY
POINTS
- โลกกำลังเผชิญวิกฤตภูมิอากาศและผลกระทบสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลายเป็นปัญหาระดับโลกที่ต้องเร่งแก้ไข
- รัฐบาลและภาคเอกชนร่วมขับเคลื่อนแนวทางการเติบโตที่ยั่งยืน
- ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม พลังงาน และเมืองยั่งยืนร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง
- เมืองยั่งยืนและการลงทุนเพื่อสิ่งแวดล้อมถูกยกให้เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนสู่อนาคตที่ปลอดคาร์บอน
- วางแนวทางชัดเจนทั้งด้านนโยบาย การเงิน และนวัตกรรมเพื่อบรรลุเป้าหมาย
ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม เป้าหมาย “Net Zero” หรือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ กลายเป็นวาระสำคัญของทุกภาคส่วนทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยที่กำลังเร่งเดินหน้าเพื่อสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและการรักษาสิ่งแวดล้อม
18 มิถุนายน 2568 “เนชั่นกรุ๊ป” โดย ฐานเศรษฐกิจ ร่วมกับ Thandigital เปิดเวทีสัมมนาใหญ่แห่งปี “Road to Net Zero 2025: Thailand Green Action” รวมผู้นำความคิดด้านสิ่งแวดล้อม พลังงาน และเมืองยั่งยืน ร่วมหาแนวทางผลักดันประเทศไทยสู่เป้าหมาย Net Zero ชูบทบาทเมืองและการลงทุนสีเขียวเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศสู่อนาคตที่ปลอดคาร์บอนอย่างยั่งยืน
กลยุทธ์ดึงเงินลงทุนสีเขียว
"เมลินดา กู้ด" ผู้อํานวยการธนาคารโลก ประจําประเทศไทยและเมียนมา กล่าวในหัวข้อ Sustainable Urban Solutions: Cities of the Future (แนวทางแก้ไขปัญหาเมืองอย่างยั่งยืน: เมืองแห่งอนาคต) ว่า มี 4 แนวทางสำคัญที่ช่วยผลักดันเศรษฐกิจและขับเคลื่อนเมืองไทยสู่ Net Zero ได้แก่
1. การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมที่เชื่อมโยงกับชุมชน (Transit-Oriented Development - TOD) ที่สามารถระดมการลงทุนภาคเอกชนสำหรับโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวได้สูงถึง 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี ในพื้นที่อย่าง กรุงเทพฯ และขอนแก่น
2. การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ เพราะทั่วประเทศไทยมีการสูญเสียน้ำมากถึง 40% จากโครงสร้างพื้นฐานที่เก่าแก่และการรั่วไหล ซึ่งส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ เช่น ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มีปัญหาการขาดแคลนน้ำ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ มากกว่า170 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี
3. โซลูชันแก้ปัญหาที่อาศัยธรรมชาติเป็นฐาน (NBS) เช่น การฟื้นฟูพื้นที่ชายฝั่ง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการท่องเที่ยวและภาคประมงที่สร้างรายได้ประมาณ 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี
และ 4. การเงินเชิงนวัตกรรม โดยงบประมาณของรัฐบาลเพียงอย่างเดียวไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้ จำเป็นต้องสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนพัฒนานวัตกรรม
ส่งคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศ
“เมลินดา” ยกตัวอย่างโครงการความร่วมมือสวิตเซอร์แลนด์กับไทย Bangkok E-Bus Programme ซึ่งเป็นการส่งมอบคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศโครงการแรกของโลก ภายใต้มาตรา 6.2 ของความตกลงปารีส ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการเงินคาร์บอนในระดับเมือง
การรวบรวมคาร์บอนเครดิตในเมืองสามารถสร้างมูลค่าสูงถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในทศวรรษหน้า
นอกจากนั้นธนาคารโลกกำลังร่วมมือกับกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงการคลัง ในโครงการ ‘เมืองคาร์บอนต่ำและการพัฒนาตลาดคาร์บอน’ ซึ่งจะช่วยให้เมืองไทยลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสร้างแพลตฟอร์มในการวัดผล การรวบรวม และการสร้างรายได้จากคาร์บอนเครดิตสำหรับตลาดระหว่างประเทศและในประเทศ
“ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมประจำปีธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศในปีหน้า นี่เป็นโอกาสสำคัญที่ประเทศไทยจะได้แสดงให้โลกเห็นถึงความก้าวหน้าที่แท้จริงในการสร้างเมืองที่สะอาดขึ้น เย็นขึ้น ปลอดภัยขึ้น และพร้อมสำหรับการลงทุนในอนาคต”
ไทย-สวีเดน ผนึกกำลัง Net Zero
"อันนา ฮัมมาร์เกรน" เอกอัครราชทูตสวีเดนประจำประเทศไทย กล่าวในหัวข้อ "Sweden's Green Action เปลี่ยนเพื่อยั่งยืน" ว่า สวีเดนร่วมมือกับไทยในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว และได้จัดหาช่องทางให้ภาคธุรกิจจากทั้งสองประเทศพบปะและขับเคลื่อนร่วมกัน
โดยบริษัทสวีเดนหลายแห่งเข้ามามีบทบาท เช่น Midsummer ผู้เชี่ยวชาญด้านแผงโซลาร์เซลล์แบบฟิล์มบาง และ Candela ผู้เชี่ยวชาญด้านเรือไฮโดรฟอยล์ไฟฟ้า ภาคเอกชนเป็นผู้มีบทบาทสำคัญ ที่สวีเดนภาคธุรกิจต่างๆ ได้จัดทำแผนงานโดยสมัครใจเพื่อลดการปล่อยมลพิษ เพราะเริ่มมองเห็นว่าการเป็นองค์กรที่ปราศจากเชื้อเพลิงฟอสซิลจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
"เราได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าความยั่งยืนไม่ได้ขัดแย้งกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจของสวีเดนเติบโตขึ้น 98% เมื่อเทียบกับปี 1990 ในขณะที่สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 30% ซึ่งเป็นผลมาจากการผสมผสานระหว่างนวัตกรรม กฎระเบียบ ภาษีคาร์บอน และนโยบายการจัดซื้อจัดจ้าง"
พ.ร.บ.จัดการกากอุตสาหกรรม
ขณะที่ "เอกนัฎ พร้อมพันธุ์" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Green Industry : ขับเคลื่อนลดก๊าซเรือนกระจก” ว่า กระทรวงอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างการออก พ.ร.บ.จัดการกากอุตสาหกรรม โดยจะเป็นกฎหมายฉบับแรกของประเทศไทย เพื่อจัดการจัดการของเสียที่ออกมาจากภาคการผลิต
ก่อนหน้านี้ใช้ พ.ร.บ.เฉพาะกฎหมายโรงงานในการดูแล โดยล่าสุดได้ผ่านกระบวนการรับฟังความเห็นเรียบร้อยแล้วและเตรียมที่จะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป
“กฎหมายนี้จะส่งเสริมให้เกิดอุตสาหกรรมหมุนเวียนในประเทศไทย หรืออุตสาหกรรมสีเขียว และจะตั้งกองทุนอุตสาหกรรมยั่งยืนวางรากฐานสำหรับอุตสาหกรรมสีเขียว กับอุตสาหกรรมหมุนเวียน เป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ สร้างเศรษฐกิจยุคใหม่ เป็นเครื่องยนต์ที่ผลิตสินค้าตามความต้องการของโลก เพื่อส่งออกไปสร้างมูลค่าให้กับเศรษฐกิจของประเทศ"
กฟผ. ชู PDP 2024
"ณัฐจารีย์ ศรีเพ็ชร์" ผู้อํานวยการฝ่ายเศรษฐกิจพลังงาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวในหัวข้อ: Mobilix กรีนโลจิสติกส์ครบวงจร และอนาคตระบบนิเวศโลจิสติกส์ยานยนต์ไฟฟ้า ว่า กฟผ. ตั้งเป้าหมาย Carbon Neutrality ภายในปี 2050 และ Net Zero ภายในปี 2060-2068 โดยมี แผน PDP 2024 เป็นแกนหลัก เน้นเพิ่มสัดส่วน พลังงานหมุนเวียน (RE) เป็น 51% และลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล
"เรามีกลยุทธ์สำคัญประกอบด้วย ด้านเทคโนโลยี เรามุ่งพัฒนา Floating Solar, โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ, ศึกษา SMR (พลังงานนิวเคลียร์) และไฮโดรเจน ด้านโครงข่ายไฟฟ้า ปรับปรุงระบบ Grid รองรับ RE เพิ่ม Energy Storage และพัฒนา Virtual Power Plant ด้านการสนับสนุน เราออกใบรับรอง RECs พัฒนา EV Ecosystem ส่งเสริมฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 และนโยบาย UGT"
CPF ลงทุน 5 พันล้านบาท สร้างห่วงโซ่คุณค่ายั่งยืน
"ประสิทธิ์ บุญดวงประเสิรฐ" ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) กล่าวในหัวข้อ “CPF Journey ยุทธศาสตร์และแผนการลดก๊าซเรือนกระจก และยุทธศาสตร์การลงทุนเทคโนโลยีสีเขียว” ว่า นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมคือหัวใจสำคัญของ CPF เนื่องจากภาคเกษตรมีความพึ่งพิงธรรมชาติสูง ทำให้ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างมีนัยสำคัญ อาหารเป็นหนึ่งในปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญของมนุษย์ ดังนั้น การดำเนินธุรกิจจึงต้องควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ CPF จะใช้เงินลงทุนกว่า 5,000 ล้านบาท สำหรับการดำเนินงานความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมตลอดห่วงโซ่คุณค่าภายในปี 2030 เพื่อนำมาปรับปรุงการดำเนินธุรกิจตลอดห่วงโซ่อุปทาน อาทิ การจัดหาวัตถุดิบจากแหล่งที่ปราศจากการตัดไม้ทำลายป่า การปรับปรุงประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ ร่วมพัฒนาการดำเนินงานของคู่ค้า ด้านพลังงานหมุนเวียน ด้านจัดการของเสียด้านการใช้เชื้อเพลิงที่สะอาดมากขึ้นด้านเทคโนโลยีอัจฉริยะ การใช้ระบบ AI และ IoT ด้านการพัฒนาสินค้า และบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน
“การนำ Net Zero มาสื่อสารและเสริมด้วยนวัตกรรมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่บริษัทคู่ค้าขนาดใหญ่ระดับโลก ต่างให้ความสำคัญกับพันธสัญญาด้าน Net Zero และต้องการซัพพลายเออร์ที่ดำเนินงานตามมาตรฐานเดียวกัน หากใครทำช้าก็อาจจะเสียเปรียบในการแข่งขัน ดังนั้น Net Zero คือหัวใจของการเพิ่มมูลค่าธุรกิจและขับเคลื่อนสู่เป้าหมายความยั่งยืนร่วมกัน”
สร้างบ้านสู้น้ำท่วม
"ผศ.ดร. เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์" กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ได้นำเสนอแนวคิด ในหัวข้อ Net Zero Action บ้านพลังรักษ์โลก ว่า มีจุดกำเนิดมาจากวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 ที่ทำให้ตระหนักถึงความรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม จากจุดนั้น เสนาฯ ได้ริเริ่มเป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายแรกที่ติดตั้งโซลาร์รูฟในบ้านทุกหลัง ตั้งแต่ราคาหลักล้านต้นๆ ไปจนถึงหลักสิบล้านบาท
"ความท้าทายสำคัญคือการทำให้เทคโนโลยีนี้สามารถเข้าถึงได้ในบ้านราคาไม่สูง โดยไม่เพิ่มภาระให้กับผู้บริโภคมากเกินไป แม้ว่าในระยะแรกผู้บริโภคจะยังไม่ตระหนักถึงเรื่อง ‘บ้านเขียว’ มากนัก แต่ปัจจุบันผู้คนเริ่มมีความพร้อมมากขึ้น เสนาฯ เชื่อว่ากุญแจสำคัญคือการทำให้ “บ้านเขียว” เข้าถึงได้จริงในราคาที่ไม่แพงเกินไป"
สนับสนุนการเงินเน้น ESG-Net Zero
"ประกอบ เพียรเจริญ" ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ และวาณิชธนกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวในหัวข้อ “Sustainable Finance and Banking” ว่า ปัจจุบันธนาคารให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับปัจจัย ESG และเป้าหมาย Net Zero ในการพิจารณาสนับสนุนทางการเงิน ส่งเสริมลูกค้าที่ดำเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาลและสร้างประโยชน์ต่อประเทศชาติ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
“บทบาทของธนาคารในฐานะตัวกลางทางการเงิน ที่ต้องเข้าใจและสนับสนุนลูกค้าให้ปรับตัวเข้าสู่เป้าหมาย Net Zero และมาตรฐาน ESG เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลก และรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดสากล”
"ประกอบ" กล่าวด้วยว่า การปรับตัวเพื่อความยั่งยืนนี้ เป็นการลงทุนเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจและเข้าถึงตลาดใหม่ๆ เมื่อธุรกิจดำเนินงานอย่างยั่งยืนแล้ว จะสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนพิเศษ รวมถึงมีตลาดที่ดีกว่า และในระยะยาว การสนับสนุนจากภาครัฐก็มีส่วนสำคัญ
ทั้งนี้ ธนาคารมีระบบประเมินและเครื่องมือวัดผลการดำเนินงานด้าน ESG ของลูกค้า โดยจะเริ่มจากการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปัจจุบันและกำหนดเป้าหมาย ซึ่งการดำเนินงานจะต้องรวดเร็ว หากช้าเกินไปจะไม่สามารถควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกทัน เพราะโลกมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วการดำเนินเรื่องของการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจึงต้องเข้มข้นขึ้น
สิ่งสำคัญที่จะเข้าไปช่วยลูกค้าคือ การเข้าไปพูดคุยเพื่อให้ลูกค้าที่อยู่ในหลากหลายธุรกิจสามารถปรับกระบวนการผลิตเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน โดยจะได้รับแรงสนับสนุนทางการเงิน ธนาคารจะนำเสนอตัวอย่างการลดการปล่อยก๊าซจากต่างประเทศ รวมถึงโซลูชันที่เหมาะสม สิ่งสำคัญคือการรายงานผลลัพธ์ที่ต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ เพื่อให้มั่นใจว่าผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นไปตามสัญญา โดยโซลูชันทางการเงินมีทั้งสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) และพันธบัตรสีเขียว (Green Bond) ซึ่งกระทรวงการคลังก็ให้การ สนับสนุนการนำเงินไปใช้ในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน
แกร็บเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า
"จันต์สุดา ธนานิตยะอุดม" กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แกร็บ ประเทศไทย
กล่าวในหัวข้อ Advancing Towards Green Electricity: ภารกิจการกับพัฒนายั่งยืน จัดโดย ฐานเศรษฐกิจ ว่า Grab ดำเนินธุรกิจใน 8 ประเทศ กว่า 800 เมือง และมีฐานผู้ใช้งานมหาศาลกว่า 40 ล้านคนต่อเดือน ทำให้เล็งเห็นถึงศักยภาพในการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมหาศาล แม้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในแต่ละครั้ง โดยมีเป้าหมายที่ท้าทายในการเป็น Carbon Neutral ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายในปี 2040
"Grab กำลังเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาดในยานพาหนะอย่างจริงจัง เริ่มตั้งแต่ปี 2020 ปัจจุบัน Grab มีรถ EV (ทั้ง 2 ล้อและ 4 ล้อ) ใน Ecosystem กว่า 10,000 คันในประเทศไทย Grab ได้ร่วมมือกับ BYD ส่งมอบรถยนต์ EV กว่า 50,000 คันให้กับพาร์ทเนอร์คนขับทั่วภูมิภาค โดยมีโมเดลสนับสนุนที่หลากหลาย ทั้งโครงการ "Drive-to-Own" ที่เปิดโอกาสให้ผ่อนรถ EV แบบรายวันได้โดยไม่ต้องวางเงินดาวน์ และโครงการเช่ามอเตอร์ไซค์ EV ในราคาประหยัด รวมถึงโครงการเช่าแท็กซี่ EV ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงได้อย่างมาก"
โครงการเหล่านี้ส่งผลให้ Grab สามารถลดการปล่อยคาร์บอนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ถึง 128,000 ตันในปี 2024 และมีผู้ใช้งานกว่า 100,000 คนเลือกใช้ฟีเจอร์ "Prefer EV Ride" ในแอป