'เอกนัฏ' ปฏิวัติวงการ! จ่อคลอด พ.ร.บ.กากอุตฯ ใหม่ ดันไทยสู่ 'ธุรกิจสีเขียว'

'เอกนัฏ' ปฏิวัติวงการ! จ่อคลอด พ.ร.บ.กากอุตฯ ใหม่ ดันไทยสู่ 'ธุรกิจสีเขียว'

กระทรวงอุตสาหกรรม จุดพลุ! เตรียมคลอด พ.ร.บ.กากอุตสาหกรรมใหม่-ตั้งกองทุนใหญ่ ดันไทยสู่ “ธุรกิจสีเขียว" เครื่องยนต์ใหม่หนุนเศรษฐกิจโต

“เนชั่นกรุ๊ป” โดย ฐานเศรษฐกิจ และ Thandigital จัดงานสัมมนาใหญ่แห่งปี “Road to Net Zero 2025: Thailand Green Action” โดยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ปฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Green Industry : ขับเคลื่อนลดก๊าซเรือนกระจก” ว่า กระทรวงอุตสาหกรรมกำลังจะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ด้วยการออกกฎหมายประวัติศาสตร์ ออกพระราชบัญญัติจัดการกากอุตสาหกรรม ฉบับแรกของประเทศไทย พร้อมตั้งกองทุนอุตสาหกรรมยั่งยืน เพื่อวางรากฐานอุตสาหกรรมสีเขียวและเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ โดยความยั่งยืนจะไม่ใช่แค่ต้นทุน แต่คือโอกาสทางธุรกิจที่สร้างรายได้มหาศาล

'เอกนัฏ' ปฏิวัติวงการ! จ่อคลอด พ.ร.บ.กากอุตฯ ใหม่ ดันไทยสู่ 'ธุรกิจสีเขียว'

"ที่ผ่านมาเราใช้เพียง พ.ร.บ.โรงงาน ในการกำกับดูแล ซึ่งกฎหมายโรงงานควรเน้นกำกับโรงงานที่ผลิตสินค้าดี แต่เรื่อง 'ของเสีย' นั้น จำเป็นต้องมีกฎหมายเฉพาะอีกฉบับหนึ่งมาควบคุม โดยพ.ร.บ.จัดการกากอุตสาหกรรม ได้เพิ่งผ่านกระบวนการรับฟังความเห็นเรียบร้อยแล้ว จะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ ซึ่งหลังจากนี้ กระทรวงฯ เตรียมเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อนำไปสู่กระบวนการทางกฎหมายต่อไป

กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้มุ่งเพียงการปราบปรามธุรกิจสีเทา สีดำ หรือแม้กระทั่งธุรกิจศูนย์เหรียญเท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ จะเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมให้เกิด อุตสาหกรรมหมุนเวียน (Circular Economy) และ อุตสาหกรรมสีเขียว ในประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม

"การจัดตั้งกองทุนอุตสาหกรรมยั่งยืน ก็เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำคัญในการขับเคลื่อนการปรับปรุงและพัฒนาของภาคอุตสาหกรรมให้ก้าวสู่มาตรฐานสีเขียว"

'เอกนัฏ' ปฏิวัติวงการ! จ่อคลอด พ.ร.บ.กากอุตฯ ใหม่ ดันไทยสู่ 'ธุรกิจสีเขียว'

ทั้งนี้ ผมมั่นใจว่ากฎหมายฉบับนี้จะวางรากฐานสำหรับอุตสาหกรรม และสร้างธุรกิจใหม่ในไทย นั่นคือ อุตสาหกรรมสีเขียวกับอุตสาหกรรมหมุนเวียน ซึ่งต่อไปนี้ความยั่งยืนจะไม่ใช่แค่เรื่องที่จับต้องไม่ได้ แต่จะต้องเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้จริงเพื่อเปลี่ยนความยั่งยืนจากภาระให้กลายเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จะให้ความสำคัญกับความมุ่งมั่นในเรื่องความยั่งยืนเป็นอันดับต้นๆ โดยชี้ว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นสงคราม ความขัดแย้ง ภูมิรัฐศาสตร์ เทคโนโลยีดิสรัปชั่น สังคมสูงวัย โรคระบาด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ส่งผลกระทบมากขึ้น

"เราเห็นปรากฏการณ์ใหม่ๆ ที่ไม่เคยพบ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วมเชียงใหม่ หิมะตกในทะเลทราย หรือแม้แต่แผ่นดินไหวที่ใกล้ตัวมากขึ้น ซึ่งปรากฏการณ์ที่แปลกและเป็นสัญญาณเตือนให้ทุกคนตื่นตัว นั่นคือ ตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม ซึ่งบ่งบอกถึงการขาดความพร้อมในการรับมือกับสภาพที่เกิดขึ้น"

อีกทั้ง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั่วโลกเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องยอมรับให้ได้ ทุกอย่างเปลี่ยนไวมาก เป็นความแน่นอนบนความไม่แน่นอน แต่ในสภาพเช่นนี้ เราจะต้องมองใหม่ มองให้เป็นโอกาสสำคัญของไทย หากเราคว้าจังหวะและโอกาสจากสัญญาณเหล่านี้

'เอกนัฏ' ปฏิวัติวงการ! จ่อคลอด พ.ร.บ.กากอุตฯ ใหม่ ดันไทยสู่ 'ธุรกิจสีเขียว'

นายเอกนัฎ กล่าวว่า เหตุการณ์ตึก สตง. ถล่ม สะท้อนให้เห็นชัดเจนที่สุดว่า ขาที่ค้ำจุนระบบเศรษฐกิจของประเทศอ่อนแรงลง เหมือนเสาตึกที่รับน้ำหนักไม่ไหว ดังนั้น วันนี้ประเทศไทยจึงอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่ระบบเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรมจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนอย่างเร่งด่วน

อย่างไรก็ตาม ระบบอุตสาหกรรมจะเป็นเครื่องยนต์สำคัญที่จะต้องฟื้นฟูขึ้นมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะประเทศไทยมีทางเลือกไม่มากนัก เนื่องจากเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเดิม ทั้งการลงทุนภาครัฐและการบริโภค ประสบปัญหา ดังนั้น ความหวังของประเทศจึงอยู่ที่ภาคอุตสาหกรรมที่จะต้องปรับตัว ปรับปรุง สร้างเศรษฐกิจยุคใหม่ ให้เป็นเครื่องยนต์ที่ผลิตสินค้าตามความต้องการของโลก เพื่อส่งออกและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน