CPF ทุ่ม 5 พันล้าน สู่ Net Zero งัดนวัตกรรมสีเขียวสู่เวทีโลก ย้ำ! ใครช้าแข่งยาก

CPF ลุยลงทุน 5 พันล้านบาท ดันสู่เป้า Net Zero ปลื้ม “ไก่ไทยไปอวกาศ” สะท้อนนวัตกรรมสีเขียว ยันคู่ค้าระดับโลกล้วนให้ความสำคัญกับพันธสัญญาด้าน Net Zero ย้ำใครทำช้าอาจเสียเปรียบการแข่งขัน
“เนชั่นกรุ๊ป” โดย "ฐานเศรษฐกิจ" และ Thandigital จัดงานสัมมนาใหญ่แห่งปี “Road to Net Zero 2025: Thailand Green Action” โดยนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสิรฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) บรรยายหัวข้อ "CPF Journey ยุทธศาสตร์และแผนการลดก๊าซเรือนกระจก และยุทธศาสตร์การลงทุนเทคโนโลยีสีเขียว" ว่า ท่ามกลางความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร
ทั้งนี้ CPF ได้ประกาศยุทธศาสตร์และแผนการลดก๊าซเรือนกระจก มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมลงทุนเทคโนโลยีสีเขียวตลอดห่วงโซ่อุปทาน หวังสร้างความยั่งยืนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันบนเวทีโลก ซึ่งจุดยืนการเป็นบริษัทอาหารชั้นนำที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และเป็นผู้ผลิตอาหารแห่งแรกของโลกที่ได้รับการรับรองเป้าหมายทั้งระยะสั้นและระยะยาวจากองค์กร Science Based Targets initiative (SBTi) เพื่อร่วมจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม
สำหรับ นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมคือหัวใจสำคัญของ CPF เนื่องจากภาคเกษตรมีความพึ่งพิงธรรมชาติสูง ทำให้ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างมีนัยสำคัญ อาหารเป็นหนึ่งในปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญของมนุษย์ ดังนั้น การดำเนินธุรกิจจึงต้องควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม CPF ได้ประกาศความมุ่งมั่นทำ Net Zero ตั้งแต่ปี 2022 แม้จะมีการประหยัดพลังงานและน้ำมานานกว่า 30 ปีแล้วก็ตาม การทำเรื่อง Net Zero เป็นมากกว่าความรับผิดชอบทางสังคม แต่ยังเป็น "จุดขาย" ที่สำคัญของบริษัทในเวทีโลก โดย CPF ตั้งเป้าหมายที่เร็วกว่าเป้าหมาย Net Zero ของประเทศถึง 15 ปี (รัฐบาลกำหนดที่ปี 2065) ถือเป็นความท้าทายภายใต้ความเชื่อมั่นที่จะก้าวสู่มาตรฐานระดับโลก
ทั้งนี้ ในช่วงเริ่มต้นของการจัดทำเป้าหมาย Net Zero นั้น ใช้เวลานานมากในการเก็บและจัดทำข้อมูล เพราะ CPF มีความซับซ้อนกว่าบริษัทอุตสาหกรรมทั่วไป เนื่องจากเป็นทั้งธุรกิจเกษตรอและอุตสาหกรรมแบบครบวงจร ดังนั้น โครงการนำร่องที่ CPF ทำขึ้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะใช้เป็นต้นแบบและข้อมูลสำหรับมาตรฐานในอนาคตในหลากหลายประเทศ
นายประสิทธิ์ กล่าวว่า CPF ถือเป็นบริษัทแรกของโลกในกลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมที่ได้รับใบรับรองการดำเนินการด้าน Net Zero โดยเป้าหมายในปี 2050 คือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตรควบคู่กับการใช้พลังงานสะอาด สำหรับแผนงานที่นำเสนอมาตั้งแต่ปี 2020 จนถึงปี 2050 คาดว่าจะสำเร็จตามเป้าหมายสำคั
ทั้งนี้ ในช่วง 6 ปี (2568-2573) CPF จะใช้เงินลงทุนราว 5,000 ล้านบาท สำหรับการดำเนินงานความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมตลอดห่วงโซ่คุณค่าภายในปี 2030 เพื่อนำมาปรับปรุงการดำเนินธุรกิจตลอดห่วงโซ่อุปทาน อาทิ การจัดหาวัตถุดิบจากแหล่งที่ปราศจากการตัดไม้ทำลายป่า การปรับปรุงประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ ร่วมพัฒนาการดำเนินงานของคู่ค้า ด้านพลังงานหมุนเวียน ด้านจัดการของเสีย และลดปริมาณขยะอาหารให้เป็นศูนย์ ด้านการใช้เชื้อเพลิงที่สะอาดมากขึ้น สารทำความเย็นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้านเทคโนโลยีอัจฉริยะ การใช้ระบบ AI และ IoT ด้านการพัฒนาสินค้า และบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน
"การจัดหาข้าวโพดของ CPF 100% ต้องมาจากแหล่งยั่งยืนที่ไม่ตัดไม้ทำลายป่าตั้งแต่ปี 2021 และจะขยายผลครอบคลุมถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม และมันสำปะหลังภายในปี 2025 และขยายไปยังข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ กระดาษ ภายในปี 2030"
ส่วนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียน ปัจจุบันใช้พลังงานหมุนเวียนคิดเป็น 33% ของพลังงานทั้งหมด ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ปีละ 522 ล้านบาท โดย 13 ประเทศ จาก 17 ประเทศที่ CPF ดำเนินธุรกิจได้ยกเลิกการใช้ถ่านหินแล้วครอบคลุม 87% ของรายได้ทั้งหมด มีแผนทยอยลงทุนปรับปรุงในแต่ละโรงงาน โดยตั้งเป้าให้ทุกประเทศยกเลิกการใช้ถ่านหินภายในปี 2030
"CPF ยังใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยถือเป็นบริษัทแรกของโลกที่ใช้โซลูชัน SAP Sustainability เพื่อบริหารจัดการข้อมูลการใช้พลังงานทั้งหมด และรายงานตามมาตรฐาน GRI"
นายประสิทธิ์ กล่าวว่า การทำ Net Zero ไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้ธุรกิจอย่างชัดเจน โดยยกตัวอย่างจากงานแสดงสินค้าที่เยอรมนี ซึ่ง CPF นำเสนอธีม "ไก่ไทยไปอวกาศ" เน้นย้ำทั้งนวัตกรรมและความยั่งยืน ซึ่งลูกค้าต่างประเทศให้ความสำคัญกับประเด็นเหล่านี้เป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ CPF ยังให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของบุคลากรทุกคน โดยพนักงานทุกคนจะต้องมีความรู้ความเข้าใจเรื่อง Net Zero เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายร่วมกัน และสิ่งที่ CPF ให้ความสำคัญและพยายามช่วยเหลือคือการสนับสนุนคู่ค้า SMEs ผ่านโครงการ SMEx เพื่อการบริหารต้นทุนต่ำ นำรักษ์โลก โดยการจัดอบรมและศึกษาดูงานด้านการประหยัดพลังงานให้ฟรีมากว่า 4 ปีแล้ว
และหากคู่ค้ารายใดสนใจ CPF จะส่งทีมวิศวกรเข้าไปช่วยประเมิน โดยมีข้อแม้ว่าผลจากการประหยัดที่ได้จากการดำเนินงานนั้น จะต้องนำไปลงทุนต่อยอดในเรื่องสิ่งแวดล้อมภายในองค์กรของคู่ค้าเองด้วย ซึ่งโครงการนี้ได้รับความร่วมมือจากหลากหลายหน่วยงาน อาทิ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม, สสว., ธนาคารกสิกรไทย (KBank) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นต้น
"การนำ Net Zero มาสื่อสารและเสริมด้วยนวัตกรรมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่บริษัทคู่ค้าขนาดใหญ่ระดับโลก ต่างให้ความสำคัญกับพันธสัญญาด้าน Net Zero และต้องการซัพพลายเออร์ที่ดำเนินงานตามมาตรฐานเดียวกัน หากใครทำช้าก็อาจจะเสียเปรียบในการแข่งขัน ดังนั้น Net Zero คือหัวใจของการเพิ่มมูลค่าธุรกิจและขับเคลื่อนสู่เป้าหมายความยั่งยืนร่วมกัน"