'ทูตสวีเดน' ย้ำชัด 'เศรษฐกิจสีเขียวโตได้จริง' จับมือไทยลุยสู่ Net Zero

สวีเดน ผู้นำระดับโลกด้านความยั่งยืน ได้รับการจัดอันดับ อันดับ 1 ด้านความสามารถในการแข่งขันด้านความยั่งยืน ทั่วโลก สร้างพลังงานได้ 98% โดยไม่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และสามารถ รีไซเคิลของเสียได้ 98%
KEY
POINTS
- งานสัมมนาใหญ่ "Road to Net Zero 2025: Thailand Green Action"
สวีเดน ผู้นำระดับโลกด้านความยั่งยืน ได้รับการจัดอันดับ อันดับ 1 ด้านความสามารถในการแข่งขันด้านความยั่งยืน ทั่วโลก - สร้างพลังงานได้ 98% โดยไม่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และสามารถ รีไซเคิลของเสียได้ 98%
- ความยั่งยืน คือ แก่นนโยบายของสวีเดน ถือเป็น หัวใจของนโยบายต่างประเทศและระดับชาติ สอดคล้องกับ Agenda 2030
- ลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รับมือโลกร้อน
- อุตสาหกรรมจัดทำแผนลดการปล่อยคาร์บอนโดยสมัครใจ คิดเป็น 70% ของการปล่อยมลพิษในประเทศ
“เนชั่นกรุ๊ป” โดย ฐานเศรษฐกิจ และ Thandigital จัดงานสัมมนาใหญ่แห่งปี “Road to Net Zero 2025: Thailand Green Action” โดยช่วงปาฐกถาพิเศษ ได้รับเกียรติจาก "อันนา แฮมมาร์เกรน" (Anna Hammargren) เอกอัครราชทูตสวีเดนประจำประเทศไทย กล่าวในหัวข้อ "Sweden's Green Action เปลี่ยนเพื่อยั่งยืน" โดยเน้นย้ำถึงความเร่งด่วนและความสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงบทบาทนำของสวีเดนในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเพื่อความยั่งยืนในระดับโลก
"อันนา" ชี้ว่าภาวะโลกร้อนไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่ไกลตัว แต่เป็นความจริงที่กำลังส่งผลกระทบไปทั่วโลก เช่น คลื่นความร้อนในยุโรป ภัยแล้งในแอฟริกา และน้ำท่วมในภูมิภาคนี้ ซึ่งนำมาซึ่งความเสียหายและการสูญเสียอย่างกว้างขวาง สำหรับสวีเดน การพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญของนโยบายต่างประเทศและนโยบายระดับชาติ โดยสอดคล้องกับวาระปี 2030
สวีเดน อันดับ 1 ความสามารถด้านความยั่งยืน
สวีเดนได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่หนึ่งในดัชนีความสามารถในการแข่งขันด้านความยั่งยืนระดับโลก (Global Sustainability Competitiveness Index) และเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจนวัตกรรมมากเป็นอันดับสองของโลก ภาคเทคโนโลยีด้านสภาพภูมิอากาศของสวีเดนกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ถือเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดในยุโรป โดยมีบริษัทกว่า 500 แห่ง และมีมูลค่ารวมประมาณ 8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
"อันนา" กล่าวว่า บทบาทของสวีเดนด้านความยั่งยืน ไม่ได้มาจากแนวคิดที่รวดเร็วหรือการแก้ไขปัญหาฉุกเฉินเพียงครั้งเดียว แต่เป็นผลมาจากการเดินทางที่ยาวนานหลายทศวรรษของนโยบายและความมุ่งมั่นที่มองการณ์ไกล สวีเดนเป็นประเทศแรกที่ผ่านกฎหมายคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในปี 1967
Agenda ของสวีเดน
สวีเดนเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยสิ่งแวดล้อมของมนุษย์ในปี 1972 ซึ่งเป็นการประชุมสิ่งแวดล้อมครั้งแรกของ UN (United Nations) และได้วางรากฐานการบริหารจัดการระดับโลกด้านประเด็นสภาพภูมิอากาศ
นอกจากนี้ ในปี 1991 สวีเดนได้ริเริ่มการเก็บภาษีคาร์บอนเป็นครั้งแรกของโลก เพื่อเป็นแรงจูงใจที่แข็งแกร่งสำหรับการใช้พลังงานหมุนเวียน และในปี 2017 ได้มีการนำพระราชบัญญัติสภาพภูมิอากาศที่ครอบคลุมมาใช้ โดยกำหนดเป้าหมายให้สวีเดนเป็นประเทศที่ปราศจากเชื้อเพลิงฟอสซิลภายในปี 2045
ปัจจุบัน สวีเดนสามารถผลิตพลังงานได้ 98% โดยไม่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และประสบความสำเร็จในการรีไซเคิลของเสียได้ 98% สวีเดนยังสนับสนุนความมุ่งมั่นของสหภาพยุโรปในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิอย่างน้อย 55% ภายในปี 2030 เมื่อเทียบกับระดับปี 1990
จัดงบ 1 พันล้านดอลฯ ลดโลกร้อน
"อันนา" อธิบายต่อว่า สวีเดนจัดสรรงบประมาณประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยให้การสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ผ่านองค์กรสหประชาชาติ ธนาคารเพื่อการพัฒนา และธนาคารโลกในภูมิภาคนี้ เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมสีเขียว การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานปลอดฟอสซิล และเสริมสร้างความพยายามในการปรับตัวและบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในประเทศรายได้น้อยถึงปานกลาง
ภาคเอกชนสวีเดน ร่วมมือลดปล่อยมลพิษ
ภาคเอกชนเป็นผู้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ซึ่งครอบคลุมการปล่อยมลพิษของสวีเดนถึง 70% โดยภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ของสวีเดนได้จัดทำแผนงานของตนเองโดยสมัครใจ เพราะบริษัทต่างๆ เริ่มมองเห็นว่าการเป็นผู้ที่ปราศจากเชื้อเพลิงฟอสซิลจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
ตัวอย่างเช่น การผลิตเหล็กปลอดฟอสซิล (Hybrit) ที่แทบไม่ส่งผลกระทบต่อราคาผู้บริโภค หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์มีราคาถูกลง 90% พลังงานลมถูกลง 70% และต้นทุนแบตเตอรี่ลดลง 85% พร้อมประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นสองเท่า ทำให้ความยั่งยืนเข้าถึงได้และคุ้มค่ามากขึ้น
ธุรกิจต่างๆ ตระหนักว่าหากไม่เปลี่ยนผ่านสู่ระบบปลอดฟอสซิลภายในปี 2035 พวกเขาอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
นอกจากนั้น สวีเดนใช้ แบบจำลอง Quadruple Helix ที่นำอุตสาหกรรม รัฐบาล สถาบันการศึกษา และภาคประชาสังคมมาร่วมมือกัน ซึ่งความร่วมมือข้ามภาคส่วนนี้เป็นรากฐานของการทำงานแบบไฮบริดและนวัตกรรม
ไทย-สวีเดน ผนึกกำลังสู่ Net Zero
"อันนา" ยังเน้นย้ำถึงความร่วมมืออันยาวนานระหว่างสวีเดนและประเทศไทยในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว ทั้งสองประเทศต่างมุ่งมั่นที่จะมีบทบาทในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเวที "Sweden-Thailand Sustainable Development Forum" ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ก็เป็นช่องทางสำคัญที่ส่งเสริมให้ภาคธุรกิจจากทั้งสองประเทศได้พบปะและขับเคลื่อนการพัฒนาร่วมกัน
โดยมีบริษัทสวีเดนหลายแห่งเข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวของประเทศไทย เช่น Midsummer ผู้เชี่ยวชาญด้านแผงโซลาร์เซลล์แบบฟิล์มบาง และ Candela ผู้เชี่ยวชาญด้านเรือไฮโดรฟอยล์ไฟฟ้า
สวีเดนได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าความยั่งยืนไม่ได้ขัดแย้งกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจของสวีเดนเติบโตขึ้น 98% ตั้งแต่ปี 1990 (ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น World Bank และ CEIC ระบุว่า Real GDP ของสวีเดนเติบโตขึ้นเกือบ 100% ตั้งแต่ปี 1990 ถึงช่วงปี 2022)
ในขณะที่สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 30% ซึ่งเป็นผลมาจากการผสมผสานระหว่างนวัตกรรม กฎระเบียบ ภาษีคาร์บอน และนโยบายการจัดซื้อจัดจ้าง







