‘สนามบินคันไซ’ กำลังจม! จากปัญหาดินทรุด ญี่ปุ่นเร่งหาทางป้องกัน

“ญี่ปุ่น” ทุ่มเงินกว่า 150 ล้านดอลลาร์ สร้างกำแพงกันคลื่นรอบ ๆ “สนามบินนานาชาติคันไซ” เพื่อชะลออัตราการจม จากปัญหาดินทรุด
KEY
POINTS
- “สนามบินนานาชาติคันไซ” ของ “ญี่ปุ่น” กำลังจม จากน้ำหนักของพื้นดินและสิ่งก่อสร้างทั้งหลาย รวมถึงวิธีการก่อสร้างเกาะที่อาศัยการขุดลอกดินและหินจำนวนหลายล้านตันแล้วกองไว้บนพื้นทะเล
- พื้นผิวของเกาะแรกของสนามบินในปัจจุบันมีระดับต่ำกว่าเมื่อเปิดดำเนินการในปี 1994 ประมาณ 3.84 เมตร
- มีการสร้างกำแพงกันทะเลรอบเกาะมูลค่ามากกว่า 150 ล้านดอลลาร์ แต่วิศวกรคาดว่าในอีก 30 ปีข้างหน้า พื้นที่บางส่วนของสนามบินก็อาจต่ำกว่าระดับน้ำทะเลอยู่ดี
“สนามบินนานาชาติคันไซ” ของ “ญี่ปุ่น” เป็นสนามบินที่ถูกยกย่องว่าเป็นสนามบินที่ดีที่สุดในโลกด้านการขนส่งสัมภาระในปี 2024 โดยไม่เคยทำให้สัมภาระสูญหายแม้แต่ชิ้นเดียวเป็นเวลากว่าทศวรรษ อีกทั้งยังได้รับรางวัลระดับนานาชาติในด้านการออกแบบสถาปัตยกรรม ประสิทธิภาพ และพนักงาน แต่สนามบินแห่งนี้ “กำลังจม”
สนามบินนานาชาติคันไซสร้างขึ้นบนเกาะเทียมที่มนุษย์สร้างขึ้น ตั้งอยู่ในอ่าวโอซาก้า เป็นหนึ่งในโครงการก่อสร้างและวิศวกรรมที่ใหญ่ที่สุดที่เคยญี่ปุ่นเคยสร้างมา สนามบินแห่งนี้ประกอบด้วยเกาะสองเกาะ เกาะหนึ่งมีพื้นที่กว่า 3,187 ไร่ ส่วนอีกเกาะมีกว้างใหญ่ถึง 6,593.75 ไร่ สร้างขึ้นเพื่อบรรเทาปัญหาความแออัดที่สนามบินนานาชาติโอซาก้าที่อยู่ใกล้เคียง เปิดให้บริการครั้งแรกในวันที่ 4 กันยายน 1994
ตั้งแต่นั้นมา สนามบินแห่งนี้ก็มีเที่ยวบินมาใช้บริการมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งเที่ยวบินทั้งในประเทศและต่างประเทศจนกลายเป็นศูนย์กลางทางการบินที่สำคัญ ในปี 2024 มีผู้โดยสารราว 30.6 ล้านคนที่เดินทางมาที่นี่ เพื่อเดินทางไปยัง 91 เมืองใน 25 ประเทศ แม้ว่าตัวเลขจะน่าประทับใจ แต่ก็ยากที่จะมองข้ามข้อเท็จจริงที่ว่าสนามบินได้จมลงไปในชั้นดินเหนียวใต้อ่าวมากกว่าที่วิศวกรคาดไว้ และยังคงจมลงทุกปี
สาเหตุที่ทำให้สนามบินค่อย ๆ จมลงมีด้วยกันหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนักของพื้นดินและสิ่งก่อสร้างทั้งหลาย รวมถึงวิธีการก่อสร้างเกาะที่อาศัยการขุดลอกดินและหินจำนวนหลายล้านตันแล้วกองไว้บนพื้นทะเล ซึ่งไม่ได้ทำให้ตะกอนอ่อนแน่นขึ้นจนหมดก่อนเริ่มการก่อสร้าง ทำให้เกาะมีแนวโน้มที่จะทรุดตัวในระยะยาว
อีกสาเหตุสำคัญ คือ ชั้นดินใต้สนามบิน เป็นดินเหนียวและตะกอนที่หลวม ซึ่งจะทรุดตัวเมื่อรับน้ำหนัก ทั้งหมดนี้จึงทำให้สนามบินทรุดตัวเร็วกว่าที่วิศวกรคำนวณไว้
ตามรายงานของผู้ให้บริการสนามบินคันไซ พบว่า พื้นผิวของเกาะแรกของสนามบินในปัจจุบันมีระดับต่ำกว่าเมื่อเปิดดำเนินการในปี 1994 ประมาณ 3.84 เมตร ตั้งแต่เริ่มมีการฝังกลบเพื่อก่อสร้าง สนามบินแห่งนี้พบการทรุดตัวโดยเฉลี่ย 13.66 เมตร
ข้อมูลล่าสุดที่เผยแพร่เมื่อเดือนธันวาคม 2024 ระบุว่า การทรุดตัวโดยเฉลี่ยวัดได้เพียง 6 ซม. ใน 17 จุดบนเกาะเทียม ขณะที่สถานการณ์บนเกาะที่สองนั้นเลวร้ายกว่าเล็กน้อย โดยพื้นผิวดินทรุดลง 17.47 เมตร นับตั้งแต่เริ่มดำเนินการสร้าง และระดับการทรุดตัวเฉลี่ยที่จุดวัด 54 จุดเมื่อปี 2024 อยู่ที่ 21 ซม.
เกาะเหล่านี้สร้างขึ้นบนชั้นดินเหนียวตะกอนหนา 20 เมตร ทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำ แม้จะติดตั้งท่อระบายน้ำแนวตั้ง 2.2 ล้านท่อซึ่งมีไว้เพื่อทำให้ดินเหนียวแข็งตัวและจำกัดการหดตัว แต่ด้วยน้ำหนักของหลุมฝังกลบ ซึ่งรวมถึงเศษซากมากกว่า 200 ล้านลูกบาศก์เมตร ก็ทำให้ดินเหนียวถูกบีบอัดมากกว่าที่คาดไว้
ทำให้มีการสร้างกำแพงกันทะเลรอบเกาะมูลค่ามากกว่า 150 ล้านดอลลาร์ แต่บรรดาวิศวกรยังคงคาดการณ์ว่าในอีก 30 ปีข้างหน้า พื้นที่บางส่วนของสนามบินก็อาจต่ำกว่าระดับน้ำทะเลอยู่ดี
เดือนกันยายน 2018 พายุไต้ฝุ่นเชบี พายุไต้ฝุ่นที่รุนแรงที่สุดที่พัดถล่มญี่ปุ่นในรอบ 25 ปี ก่อให้เกิดความเสียหายมูลค่า 13,000 ล้านดอลลาร์ และมีผู้เสียชีวิต 21 รายทั่วแปซิฟิก ทำให้สนามบินคันไซจำเป็นต้องปิดให้บริการชั่วคราวจากน้ำท่วม
เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงข้อบกพร่องด้านการออกแบบที่ร้ายแรง เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ รวมถึงศูนย์รับมือภัยพิบัติและสถานีไฟฟ้าที่จำเป็นในการจ่ายไฟให้กับสิ่งอำนวยความสะดวก อยู่ที่ชั้นใต้ดินถูกน้ำท่วมทั้งหมด ผู้คนราว 5,000 คนติดอยู่ที่สนามบินโดยไม่มีไฟฟ้าใช้เป็นเวลานานกว่า 24 ชั่วโมง
ตามคำชี้แจงบนเว็บไซต์ของผู้ให้บริการ ระบุว่าในตอนนี้อัตราการทรุดตัวของสนามบินกำลังลดลง และกำลังติดตามตรวจสอบฐานรากของสนามบิน รวมถึงรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการทรุดตัว พร้อมขอคำแนะนำจากนักวิชาการ
ฮิโระ อิชิกาวะ ศาสตราจารย์กิตติคุณด้านการวางผังเมืองและนโยบายที่มหาวิทยาลัยเมจิ กล่าวว่าการทรุดตัวของเกาะยังคงอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ และถือเป็นประสบการณ์การเรียนรู้อันมีค่าสำหรับแผนการสร้างเกาะที่มนุษย์สร้างขึ้นในลักษณะเดียวกัน
อิชิกาวะให้สัมภาษณ์กับ This Week in Asia ว่า “เมื่อต้องสร้างสนามบินแห่งที่สองสำหรับโอซาก้า เราจำเป็นต้องตัดสินใจสร้างนอกชายฝั่ง เนื่องจากมีตัวเลือกดี ๆ เพียงไม่กี่แห่ง เพราะมีพื้นที่จำกัดมากในแผ่นดินใหญ่สำหรับโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ และผู้อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงอาจได้รับผลกระทบจากเสียงรบกวนและเที่ยวบินในตอนกลางคืน”
สนามบินคันไซได้ให้บทเรียนอันมีค่าสำหรับการพัฒนาสนามบินอื่น ๆ รวมถึงท่าอากาศยานนานาชาติชูบุเซ็นแทรร์ ซึ่งสร้างบนเกาะเทียมนอกชายฝั่งนาโกย่าเช่นกัน
สนามบินชูบุเซ็นแทรร์เปิดดำเนินการในปี 2005 มีขนาดเล็กกว่าสนามบินคันไซโดยมีพื้นที่เพียงประมาณ 2,937 ไร่ ได้รับการจัดอันดับให้เป็นสนามบินภูมิภาคที่ดีที่สุดในโลกเป็นปีที่ 11 ติดต่อกันในปี 2568 โดยองค์กรอุตสาหกรรมสกายแทร็กซ์ และรายงานว่ามีปัญหาการทรุดตัวน้อยกว่าสนามบินคันไซ
อิชิกาวะอธิบายถึงหลักวิศวกรรมของสนามบินคันไซว่า “เราทราบดีกันอยู่แล้วว่าสนามบินจะต้องทรุดตัวและได้นำผลกระทบต่าง ๆ มาพิจารณาในการออกแบบแล้ว แต่ก็ยังมีข้อผิดพลาดอยู่ เช่น การจัดวางสิ่งอำนวยความสะดวกฉุกเฉินไว้ในบริเวณใต้ดินที่มักเกิดน้ำท่วม”
ในตอนนี้อัตราการทรุดตัวของสนามบินน้อยกว่า 10 ซม. ต่อปี แต่ก็ค่อย ๆ ดีขึ้นและจัดการได้ เพราะปัญหาการทรุดตัวในเมืองไม่ใช่ปรากฏการณ์ใหม่ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้ทั่วโลก เช่น เวนิสและเกาะแมนฮัตตันในนิวยอร์ก เนื่องจากน้ำหนักของอาคาร
ปัจจุบันท่าอากาศยานจึงกำลังดำเนินโครงการปรับปรุงครั้งใหญ่มูลค่า 609 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมุ่งเป้าไปที่การปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกและเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินงาน แม้ว่าจะต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากการจมลึกลงไปในอ่าวโอซาก้าก็ตาม
ที่มา: Aero Time, Essential Japan, Kansai Airport, South China Morning Post







