กรุงไทย–แอกซ่า ประกันชีวิต​ ทุ่มพลัง Save Our Sea ปี 3 ปล่อยเต่าทะเล–บ้านปลา

กรุงไทย–แอกซ่า ประกันชีวิต​ ทุ่มพลัง Save Our Sea ปี 3 ปล่อยเต่าทะเล–บ้านปลา

กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ประกาศบทบาท “Green Insurer” เดินหน้างานฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ทะเลอันดามันกำลังเผชิญภัยเงียบจาก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, ขยะทะเล, และ การเสื่อมโทรมของแนวปะการัง

KEY

POINTS

  • กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ประกาศบทบาท “Green Insurer” เดินหน้างานฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม
  • ทะเลอันดามันกำลังเผชิญภัยเงียบจาก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, ขยะทะเล และการเสื่อมโทรมของแนวปะการัง
  • โครงการร่วมของ กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต, มูลนิธิลากูน่า ภูเก็ต, และ ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอันดามันตอนบน
  • ปล่อยลูกเต่าทะเลและปลาฉลามกบ คืนสู่ทะเล — สัญลักษณ์แห่งความหวังทางระบบนิเวศ
  • จัดทำ “บ้านปลา” กับชุมชนบ้านบางโรง เพื่อเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์ทะเล
  • เก็บและคัดแยกขยะชายหาด บางส่วนถูกรีไซเคิล

ท่ามกลางผืนน้ำสีฟ้าของทะเลอันดามัน และแนวชายหาดที่ทอดยาว แต่ใต้ท้องทะเลที่เคยงดงามกลับกำลังเผชิญภัยเงียบ ทั้งจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ขยะทะเลที่เพิ่มขึ้น และการเสื่อมโทรมของแนวปะการังที่หลายคนอาจมองไม่เห็น อย่างไรก็ตาม ยังมีกลุ่มคนที่ไม่ยอมปล่อยให้สมบัติแห่งท้องทะเลไทยสูญหายไป

ดังเช่น บมจ. กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ที่ล่าสุด พร้อมด้วยพนักงานจิตอาสาหลายสิบคนได้ลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อเดินหน้าภารกิจ "Save Our Sea ปีที่ 3" ซึ่งเกิดขึ้นจากความร่วมมือกับ มูลนิธิลากูน่า ภูเก็ต และ ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน โครงการนี้ไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมหนึ่งในแผนงานด้านความยั่งยืน แต่เป็นความตั้งใจที่จะเข้าถึงรากของปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมทางทะเล

"Save Our Sea" กำลังส่งสัญญาณสำคัญให้ทุกภาคส่วนร่วมกันทบทวนว่า เรากำลังดูแลทะเลของเราอย่างไร? การปกป้องท้องทะเลไม่ได้เป็นหน้าที่ของใครคนเดียว แต่คือพันธกิจร่วมกัน เพื่อรักษาสมดุลของระบบนิเวศและความงดงามของท้องทะเลไทยให้คงอยู่ต่อไป

กรุงไทย–แอกซ่า ประกันชีวิต​ ทุ่มพลัง Save Our Sea ปี 3 ปล่อยเต่าทะเล–บ้านปลา

บริษัทประกันไม่ประกันแค่ชีวิต แต่ฟื้นฟูระบบนิเวศ

ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่บริษัทประกันชีวิตรายใหญ่อย่างกรุงไทย-แอกซ่า จะก้าวเข้ามามีบทบาทในเวทีอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทะเลไทย เพราะกรุงไทย-แอกซ่า เลือกจะเป็นมากกว่านั้น ด้วยการประกาศตัวเป็น “Green Insurer” หรือผู้รับประกันที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และลงมือจริง ทั้งปลูกหญ้าทะเล ฟื้นฟูแนวปะการัง และดึงชุมชนท้องถิ่นเข้ามาร่วมในกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งทำอย่างต่อเนื่องมาถึงปีที่ 3

“ณัฐพิสิษฐ์ ครุฑครองชัย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ “ทางเลือก” แต่คือ “หน้าที่” ขององค์กรในศตวรรษที่ 21

กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต เป็นองค์กรที่มุ่งมั่นและให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด โดยเฉพาะในประเด็นด้าน Climate Change & Biodiversity บริษัทเชื่อว่าการฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเลของประเทศไทยไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่มันเกี่ยวข้องกับชีวิต สุขภาพ และอนาคตของทุกคน

"เราจึงพยายามเป็นแรงขับเคลื่อน ส่งเสริม และกระตุ้นให้เกิดจิตสำนึกในการอนุรักษ์ ไม่เพียงแค่ในระดับองค์กร แต่ต้องขยายออกไปยังสังคมโดยรวม”

กรุงไทย–แอกซ่า ประกันชีวิต​ ทุ่มพลัง Save Our Sea ปี 3 ปล่อยเต่าทะเล–บ้านปลา

นโยบายและยุทธศาสตร์หลัก

"ณัฐพิสิษฐ์" กล่าวด้วยว่า กลุ่มแอกซ่าระดับโลกได้ยกระดับเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้เป็นหนึ่งใน 5 กลยุทธ์หลักขององค์กร และในประเทศไทย กรุงไทย-แอกซ่า ก็ได้หยิบยกเรื่องนี้มาเป็น นโยบายและยุทธศาสตร์หลัก สำหรับการดำเนินงานด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม

“เราดำเนินงานผ่านโครงการต่างๆ ที่เน้นการลงมือทำจริง ร่วมมือกับทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชนในพื้นที่ เราหวังว่า ทุกโครงการที่เราทำ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ จะช่วยจุดประกายให้เกิดแรงขับเคลื่อนต่อไปในวงกว้าง

เพราะท้ายที่สุด การดูแลสิ่งแวดล้อมก็คือการดูแลชีวิตของพวกเราทุกคน — เคียงข้าง คุ้มครอง พร้อมใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งต่อทรัพยากรธรรมชาติที่ยั่งยืนให้กับลูกหลานของเราในอนาคต”

เสียงสะท้อนจากผู้นำองค์กรไม่ได้เพียงสร้างความมั่นใจว่า "Save Our Sea" จะไม่ใช่แค่กิจกรรมชั่วคราว แต่กำลังบอกเราว่า โลกใบนี้จะดีขึ้นได้ หากผู้นำคิดลึกลงไปเกินกว่าผลประกอบการ และกล้าลงมือทำ

กรุงไทย–แอกซ่า ประกันชีวิต​ ทุ่มพลัง Save Our Sea ปี 3 ปล่อยเต่าทะเล–บ้านปลา

ปลุกพลังพนักงาน ฟื้นทะเล

“บุปผาวดี โอวรารินท์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า โครงการ Save Our Sea ปีที่ 3 ไม่ใช่แค่กิจกรรมระยะสั้น แต่คือความตั้งใจระยะยาวที่เราเดินหน้าร่วมกันในฐานะ Green Insurer

“เราทำงานร่วมกับมูลนิธิลากูน่า ภูเก็ต และศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน เพื่อดูแลทะเลไทยอย่างจริงจัง และลงมือทำทุกปี”

ในปีที่ผ่านมา กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิตและพันธมิตรได้ช่วยฟื้นฟู บ่ออนุบาลเต่าทะเล ซึ่งเป็นที่พักพิงของสิ่งมีชีวิตอันเปราะบางอย่าง “เต่ามะเฟือง” — เต่าทะเลขนาดใหญ่ที่ใกล้สูญพันธุ์ และประเทศไทยถือเป็น 1 ในเพียง 5 ประเทศในโลกที่ยังมีความสามารถในการอนุบาลพวกมันได้

“ในปี 2568 นี้ บริษัทได้สานต่อภารกิจ ด้วยการปล่อยลูกเต่าตนุและปลาฉลามกบกลับสู่ท้องทะเล — ไม่ใช่แค่ปล่อยชีวิตคืนธรรมชาติ แต่คือการปล่อยความหวังให้ระบบนิเวศได้หายใจ”

นอกจากนี้ ทีมงานยังเก็บขยะชายหาดและคัดแยกอย่างเป็นระบบ โดยขยะบางส่วนถูกส่งต่อไปรีไซเคิลเป็น สื่อการเรียนรู้เกี่ยวกับประเภทขยะ สำหรับเด็กอนุบาลที่โรงเรียนลากูน่า ภูเก็ต เพราะความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน ต้องเริ่มตั้งแต่ระดับรากของสังคม

“อีกหนึ่งภารกิจที่เราภูมิใจ คือการจัดทำ ‘บ้านปลา’ ร่วมกับชุมชนบ้านบางโรง จังหวัดภูเก็ต เพื่อให้สัตว์น้ำอย่างปลาทะเลและปลาหมึกมีแหล่งอนุบาล และช่วยฟื้นความสมดุลให้ท้องทะเลอันดามันได้อีกครั้ง”

กรุงไทย–แอกซ่า ประกันชีวิต​ ทุ่มพลัง Save Our Sea ปี 3 ปล่อยเต่าทะเล–บ้านปลา

ปล่อยเต่าทะเลและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม 

"แอนโทนี่ โลห์" รองประธาน ลากูน่า ภูเก็ต กล่าวว่า ลากูน่า ภูเก็ต ร่วมกับ กรุงไทยแอกซ่า จัดกิจกรรม Save Our Sea ปีที่ 3 ณ บริเวณชายหาดของโรงแรม ในวันพุธที่ 11 มิถุนายน 2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเล และเน้นย้ำความมุ่งมั่นขององค์กรในการเป็นผู้นำด้านการดูแลระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ

ตั้งแต่ปี 2537 ลากูน่า ภูเก็ต ได้เป็นพันธมิตรที่มุ่งมั่นในความพยายามอนุรักษ์เต่าทะเลในประเทศไทย โดยให้การสนับสนุนการดำเนินงานที่สำคัญแก่หน่วยบัญชาการนาวิกโยธินภาคที่ 3 ของกองทัพเรือไทย และศูนย์ชีววิทยาทางทะเลภูเก็ต (PMBC)
ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีของการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ลากูน่า ภูเก็ต ได้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบเชิงบวกในการอนุรักษ์ โดยสามารถฟื้นฟูและปล่อยเต่าทะเลคืนสู่ธรรมชาติได้ถึง 2,269 ตัว และมีผู้เข้าร่วมโครงการอนุรักษ์มากกว่า 5,200 คน

กรุงไทย–แอกซ่า ประกันชีวิต​ ทุ่มพลัง Save Our Sea ปี 3 ปล่อยเต่าทะเล–บ้านปลา

อนาคตของเต่าทะเลไทย

"รัสวรรณ ธรรมิกบวร" นักวิชาการประมงปฏิบัติการ ศูนย์วิจัยชีววิทยาทางทะเลภูเก็ต (Phuket Marine Biological Center) กล่าวว่า การอนุบาลลูกเต่าทะเลหลังฟักเป็นตัวแล้ว ไม่ใช่เพียงเรื่องของความรักสัตว์ทะเล แต่มันคือการให้ ‘โอกาสรอดชีวิต’ อย่างมีนัยสำคัญ

หากปล่อยให้ลูกเต่าทะเลฟักและใช้ชีวิตตามธรรมชาติโดยไม่มีการดูแล อัตราการรอดชีวิตอาจต่ำมากจน “ไม่ถึง 1 ตัวจากไข่ 1,000 ฟอง” เพราะภัยคุกคามจากสัตว์นักล่า พลาสติกในทะเล หรือแม้แต่การพัฒนาชายฝั่งที่รุกล้ำพื้นที่วางไข่

แต่เมื่อลูกเต่าถูกนำมาอนุบาลในศูนย์ฯ ตั้งแต่ช่วงแรกเกิด และเลี้ยงดูภายใต้สภาพแวดล้อมควบคุมจนเติบโตครบ 1 ปี ก่อนจะถูกปล่อยคืนทะเล อัตรารอดชีวิตสามารถพุ่งสูงได้ถึง 95%

“หน้าที่ของเราคืออนุบาลให้เต่าเหล่านี้มีโอกาสได้กลับสู่ธรรมชาติ

แพขยะ บนชายหาด

"พีระ ป้อมสุข" ที่ปรึกษาอิสระด้านความยั่งยืน ผู้ช่วยหัวหน้ากลุ่มสัตว์ทะเลหายากและใกล้สูญพันธุ์ ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอันดามันตอนบน กล่าวกับ ‘กรุงเทพธุรกิจ’ ว่า ปัญหาขยะพลาสติกบนชายหาดในจังหวัดภูเก็ตยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญ

โดยเฉพาะในช่วงฤดูมรสุม ซึ่งลมทะเลได้พัดพา "แพขยะ" จำนวนมหาศาลจากแหล่งอื่นเข้ามาสู่ฝั่งอย่างต่อเนื่อง ทำให้แม้จะมีการเก็บกวาดไปแล้ว ขยะชุดใหม่ก็ยังคงไหลเวียนเข้ามาไม่หยุดหย่อน

ที่มาและประเภทของขยะ จากการสำรวจพบว่า ขยะพลาสติกเหล่านี้มีที่มาที่หลากหลาย ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงขวดน้ำดื่มจากประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ทั้งอินโดนีเซีย มาเลเซีย และเมียนมา นอกจากนี้ยังพบขวดจากประเทศจีน ซึ่งคาดการณ์ว่าอาจถูกทิ้งจากเรือที่สัญจรไปมา

นอกเหนือจากขวดน้ำดื่มแล้ว "น้ำถ้วย" หรือแก้วพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งก็เป็นอีกหนึ่งประเภทขยะที่พบมาก ซึ่งสันนิษฐานว่าส่วนใหญ่มาจากกิจกรรมการท่องเที่ยว

กรุงไทย–แอกซ่า ประกันชีวิต​ ทุ่มพลัง Save Our Sea ปี 3 ปล่อยเต่าทะเล–บ้านปลา

จากแค่เก็บ สู่การสร้างการมีส่วนร่วม

"พีระ" กล่าวด้วยว่า แม้การทำความสะอาดชายหาดจะเป็นสิ่งจำเป็น แต่การที่ขยะยังคงถูกพัดเข้ามาใหม่ทุกวัน ทำให้เกิดคำถามว่าจะทำอย่างไรให้กิจกรรมเก็บขยะไม่น่าเบื่อและสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืน มีแนวคิดในการปรับเปลี่ยนกิจกรรมเก็บขยะให้ "สนุก" มากขึ้น ด้วยการต่อยอดไปสู่การเรียนรู้และสร้างความตระหนัก เช่น การคัดแยกประเภท การสังเกตที่มาของขยะ หรือแม้กระทั่งการระบุยี่ห้อสินค้าที่พบมากที่สุด เป้าหมายคือการกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมเกิดแนวคิดว่า "ผู้ผลิตควรรับผิดชอบอย่างไรบ้าง" ต่อปัญหาขยะที่เกิดขึ้น

ความรับผิดชอบของผู้ผลิตในทางปฏิบัติ ประเด็น "ความรับผิดชอบของผู้ผลิต" (Producer Responsibility) ถูกนำมากล่าวถึงอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนแล้วในตลาด เช่น ขวดน้ำดื่มบางยี่ห้อได้ปรับเปลี่ยนการออกแบบฝาขวดให้ติดกับตัวขวด ไม่แยกขาดออกจากกัน ซึ่งช่วยให้ง่ายต่อการจัดเก็บและลดปัญหาฝาขวดขนาดเล็กที่เก็บยาก การปรับเปลี่ยนเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิด ESG (Environmental, Social, and Governance) ที่บริษัทต่างๆ เริ่มนำมาปรับใช้