สถานการณ์การปนเปื้อนไมโครพลาสติก ประเด็นและความท้าทาย

สถานการณ์การปนเปื้อนไมโครพลาสติก ประเด็นและความท้าทาย

พลาสติกเป็นวัสดุที่ขาดไม่ได้ในชีวิตสมัยใหม่ เนื่องจากมีความทนทาน ความหลากหลายในการใช้งาน และต้นทุนที่ต่ำ การผลิตพลาสติกทั่วโลกในปี 2566 มีปริมาณมากกว่า 410 ล้านตัน

และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ขยะพลาสติกกลายเป็นวิกฤติด้านสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงเมื่อไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม

ขยะพลาสติกที่ถูกทิ้งอย่างไม่ถูกต้องพบได้ทั่วไปบนบก ในแม่น้ำ ตามชายฝั่ง และในมหาสมุทร ซึ่งก่อให้เกิดมลภาวะที่มองเห็นได้ และเป็นต้นเหตุหนึ่งของการเกิดไมโครพลาสติก (MPs) 

ไมโครพลาสติกซึ่งมีขนาดตั้งแต่ 1 ไมโครเมตรถึง 5 มิลลิเมตร เป็นภัยคุกคามที่ซ่อนเร้นต่อระบบนิเวศและสุขภาพมนุษย์ ที่น่ากังวลคือ ประเทศไทยติดอันดับที่ 6 ของโลกในฐานะประเทศที่ปล่อยขยะพลาสติกลงสู่ทะเลมากที่สุด

ผู้เขียนเป็นผู้บุกเบิกการวิจัยเกี่ยวกับการปนเปื้อนของไมโครพลาสติกในประเทศไทย งานวิจัยครอบคลุมการปนเปื้อนของไมโครพลาสติกในสิ่งแวดล้อมที่หลากหลาย ทั้งน้ำดื่ม อาหาร และระบบบำบัดน้ำเสีย ได้นำไปสู่การจัดทำข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญเกี่ยวกับความเข้มข้นของไมโครพลาสติกชนิดของพอลิเมอร์ ขนาดและรูปร่างในสภาวะแวดล้อมต่างๆ ซึ่งจะเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการศึกษาเปรียบเทียบในอนาคต

หนึ่งในงานวิจัยที่สำคัญคือ การสำรวจการปนเปื้อนของไมโครพลาสติกในแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญของประเทศไทย ที่ใช้ในการผลิตน้ำดื่ม เพื่อการเกษตร และตอบสนองความต้องการของภาคครัวเรือนและอุตสาหกรรม 

จากการเก็บตัวอย่างน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาใน 3 พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่ในอำเภอป่าโมก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (พื้นที่เกษตรกรรม), พื้นที่บริเวณท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ (พื้นที่เขตเมือง) และพื้นที่ปากน้ำ จังหวัดสมุทรปราการ (พื้นที่ชายฝั่ง/การประมง) พบว่าทุกพื้นที่มีการปนเปื้อนของไมโครพลาสติกในระดับสูง โดยเฉพาะที่ท่าพระจันทร์ซึ่งเป็นเขตเมือง พบถึง 80 MPs/m³ ในฤดูแล้ง ซึ่งสูงกว่าระดับในแม่น้ำไรน์ของยุโรปซึ่งเคยจัดว่าเป็นหนึ่งในแม่น้ำที่ปนเปื้อนที่สุด 

ชนิดของพอลิเมอร์ที่พบมากที่สุดคือโพลิโพรพิลีนและโพลิเอทิลีน โดยมีการตรวจพบโลหะหนัก (Cr, Cu, Ni, Pb, Cd, Zn) ติดอยู่กับไมโครพลาสติก โดยเฉพาะในพื้นที่เกษตรกรรมและบริเวณปากแม่น้ำ

อีกหนึ่งข้อค้นพบที่น่าตกใจคือ การพบไมโครพลาสติกในอาหารทะเล โดยเฉพาะหอยแมลงภู่ (Perna viridis) จากอ่าวศรีราชา ซึ่งมีการปนเปื้อนสูงกว่าหอยแมลงภู่จากเพชรบุรี

ที่น่าสังเกตคือ หอยที่ขายในตลาดมีการปนเปื้อนของไมโครพลาสติกมากกว่าหอยจากฟาร์มเพาะเลี้ยง แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของการปนเปื้อนจากกระบวนการในห่วงโซ่อุปทาน

สถานการณ์การปนเปื้อนไมโครพลาสติก ประเด็นและความท้าทาย

ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องได้รับการตรวจสอบด้านความปลอดภัยของอาหารอย่างเร่งด่วน เนื่องจากหอยแมลงภู่เป็นอาหารยอดนิยมในประเทศไทย

งานวิจัยยังครอบคลุมถึงระบบน้ำประปา โดยโรงงานผลิตน้ำบางเขนสามารถกำจัดไมโครพลาสติกได้ในระดับปานกลาง (63.7%) แต่ยังพบไมโครพลาสติกในน้ำประปาที่ผ่านการบำบัดแล้วถึง 594.5±73.7 MPs/L ซึ่งสูงกว่าค่ามาตรฐานของประเทศพัฒนาแล้ว เช่น เยอรมนี (0.0007 MPs/L)

แสดงให้เห็นว่า กระบวนการบำบัดน้ำแบบดั้งเดิมที่ใช้ในโรงงานบางเขนยังไม่เพียงพอในการกำจัดมลพิษชนิดใหม่นี้

นอกจากนี้ยังพบไมโครพลาสติกในน้ำประปา น้ำดื่มบรรจุขวดและเครื่องดื่มน้ำอัดลม โดยน้ำประปาจากการประปาส่วนภูมิภาคที่จ่ายให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีการปนเปื้อนไมโครพลาสติก 95.4±8.9 MPs/L

ในขณะที่น้ำดื่มบรรจุขวดจาก 16 ยี่ห้อ ซึ่งบรรจุในขวด PET มีระดับการปนเปื้อนสูงสุดที่ 221.7±21.5 MPs/L โดยชนิดที่พบมากที่สุดคือเศษเส้นใยและชิ้นส่วนขนาดเล็กกว่า 200 ไมโครเมตร ซึ่งเป็นขนาดที่สามารถดูดซึมเข้าสู่ระดับเซลล์ของมนุษย์ได้

สถานการณ์ของโรงบำบัดน้ำเสียในประเทศไทยก็ไม่แตกต่างกัน โดยโรงบำบัดน้ำเสียไม่สามารถกำจัดไมโครพลาสติกได้อย่างมีประสิทธิภาพ พบว่า น้ำเสียก่อนบำบัดมีระดับไมโครพลาสติกตั้งแต่ 3.5 ถึง 77 MPs/L

ขณะที่น้ำที่ผ่านการบำบัดยังคงมีไมโครพลาสติกเหลืออยู่ที่ระดับ 2.33 ถึง 30.33 MPs/L โดยโรงบำบัดน้ำบางซื่อที่ใช้เทคโนโลยีอัลตราฟิลเตรชันสามารถกำจัดไมโครพลาสติกได้ดีที่สุดถึง 96.97% ไมโครพลาสติกที่พบส่วนใหญ่เป็นเส้นใยจากเสื้อผ้า 

สถานการณ์การปนเปื้อนไมโครพลาสติก ประเด็นและความท้าทาย

แสดงให้เห็นว่าโรงบำบัดแบบดั้งเดิมที่ไม่มีระบบตกตะกอนเบื้องต้นจะมีประสิทธิภาพในการกำจัดไมโครพลาสติกต่ำ จึงอาจควรพิจารณาเพิ่มเติมถึงการใช้เทคโนโลยีบำบัดขั้นสูงเข้าร่วมด้วย อาทิเช่น ระบบเมมเบรนหรือเมมเบรนไบโอรีแอคเตอร์ โดยข้อจำกัดคือต้นทุนที่สูงขึ้นของการดำเนินการในระบบเหล่านี้

งานวิจัยได้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการประเมินการปนเปื้อนของไมโครพลาสติกในประเทศไทย ความเสี่ยงต่อสุขภาพจากการได้รับไมโครพลาสติกผ่านน้ำดื่ม และอาหารในประเทศไทยนั้นเป็นความเสี่ยงที่ไม่อาจมองข้ามได้ 

แม้ว่าการศึกษาผลกระทบทางสุขภาพของไมโครพลาสติกนั้นยังมีอยู่อย่างจำกัด แต่หลักฐานเบื้องต้นแสดงว่าไมโครพลาสติกอาจทำให้เกิดอาการบาดเจ็บในลำไส้ การอักเสบของตับ ความผิดปกติของระบบเผาผลาญ และปัญหาในการสืบพันธุ์

หลักฐานใหม่ต่างชี้ให้เห็นว่า ไมโครพลาสติกอาจมีความเกี่ยวข้องกับความเป็นพิษต่อระบบประสาท การรบกวนฮอร์โมน และการกดภูมิคุ้มกัน ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาทางด้านสาธารณสุขอย่างรุนแรง 

นอกจากผลกระทบต่อมนุษย์แล้ว ไมโครพลาสติกยังรบกวนระบบนิเวศ ทำลายห่วงโซ่อาหารในน้ำ ลดความหลากหลายทางชีวภาพ และส่งผลกระทบต่อการสืบพันธุ์ของสัตว์น้ำ ทั้งยังเป็นพาหะนำสารพิษ โลหะหนัก และสารเคมีอันตรายที่สะสมในสิ่งมีชีวิตและถ่ายทอดผ่านห่วงโซ่อาหารมายังมนุษย์

ประเทศไทยตระหนักถึงปัญหานี้ และได้มีการกำหนดแนวทางการลดไมโครพลาสติกไว้ในแผนยุทธศาสตร์ระดับชาติ โดยมีเป้าหมายสำคัญ อาทิเช่น การปรับไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนโดยเฉพาะในด้านพลาสติกภายในปี 2570 การปรับปรุงมาตรการลดขยะ

สถานการณ์การปนเปื้อนไมโครพลาสติก ประเด็นและความท้าทาย

อย่างไรก็ตามยังคงมีอุปสรรคสำคัญอีกหลายประการ เช่น การบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอ การขาดแคลนศูนย์รีไซเคิล พฤติกรรมของผู้บริโภค และการขาดการมีส่วนร่วมรับผิดชอบของผู้ผลิต 

แนวทางที่อาจช่วยได้รวมถึงการบังคับใช้นโยบายห้ามใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวอย่างเข้มงวด การส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน และการรณรงค์สร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชน

งานวิจัยของ ดร.แซนญ่า ได้แสดงให้ทุกภาคส่วนได้ตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินการเพื่อยกระดับคุณภาพของสิ่งแวดล้อม แหล่งน้ำ ความปลอดภัยด้านอาหารเพื่อสุขภาพของประชาชนทุกคน​​