16 มิ.ย. วันเต่าทะเลโลก เต่าเสี่ยงเป็นเพศเมียทั้งหมด สูญพันธุ์ เพราะโลกร้อน

ทั่วโลกมีเต่าทะเล 8 ชนิด แต่ไทยพบเพียง 5 ชนิด แบ่งเป็น 2 วงศ์ เต่าทะเลไม่มีโครโมโซมเพศแบบมนุษย์ เพศถูกกำหนดด้วยอุณหภูมิของทราย อุณหภูมิทรายที่สูงขึ้นจากโลกร้อน ส่งผลให้ลูกเต่าเกิดใหม่ส่วนใหญ่เป็น เพศเมีย ในบางพื้นที่ เช่น ออสเตรเลียและฟลอริดา พบว่า 99% ของลูกเต่าเป็นเพศเมีย แสงไฟจากสิ่งก่อสร้างหรือกิจกรรมมนุษย์ ทำให้ลูกเต่า หลงทาง และตายก่อนถึงทะเล
KEY
POINTS
- วันที่ 16 มิถุนายนของทุกปี เป็น “วันเต่าทะเลโลก” (World Sea Turtle Day)
- ทั่วโลกมีเต่าทะเล 8 ชนิด แต่ไทยพบเพียง 5 ชนิด แบ่งเป็น 2 วงศ์
- เต่าทะเลไม่มีโครโมโซมเพศแบบมนุษย์ เพศถูกกำหนดด้วยอุณหภูมิของทราย
- อุณหภูมิทรายที่สูงขึ้นจากโลกร้อน ส่งผลให้ลูกเต่าเกิดใหม่ส่วนใหญ่เป็น เพศเมีย
- ในบางพื้นที่ เช่น ออสเตรเลียและฟลอริดา พบว่า 99% ของลูกเต่าเป็นเพศเมีย
- เสี่ยงต่อการขาดความหลากหลายทางเพศและปัญหาในการผสมพันธุ์ในอนาคต
- แสงไฟจากสิ่งก่อสร้างหรือกิจกรรมมนุษย์ ทำให้ลูกเต่า หลงทาง และตายก่อนถึงทะเล
วันที่ 16 มิถุนายนของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็น “วันเต่าทะเลโลก” (World Sea Turtle Day) ซึ่งเป็นวันสำคัญระดับนานาชาติที่สะท้อนให้เห็นถึงความตระหนักและความห่วงใยของมนุษยชาติที่มีต่อ “เต่าทะเล” — สัตว์เลื้อยคลานโบราณที่ดำรงอยู่บนโลกใบนี้มายาวนานกว่า 100 ล้านปี
และถูกกำหนดขึ้นเพื่อรำลึกถึงผลงานอันยิ่งใหญ่ของ ดร. อาร์ชี คาร์ (Dr. Archie Carr) นักชีววิทยาชาวอเมริกันผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น "บิดาแห่งการอนุรักษ์เต่าทะเล" เขาเป็นผู้บุกเบิกการศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับวงจรชีวิตของเต่าทะเล และเป็นผู้วางรากฐานแนวคิดด้านการอนุรักษ์อย่างเป็นระบบทั่วโลก ดร. คาร์มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เกิดการคุ้มครองแหล่งวางไข่ของเต่าในหลายประเทศ และปลุกกระแสสาธารณะให้ตระหนักถึงความเปราะบางของสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ ตลอดจนผลกระทบที่เต่าทะเลต้องเผชิญจากกิจกรรมของมนุษย์
ไทยมีเต่าทะเลสายพันธุ์ไหนบ้าง
เต่าทะเลทั่วโลกมีทั้งหมด 8 ชนิด โดย 6 สายพันธุ์ถูกจัดอยู่ในกลุ่มสัตว์ใกล้สูญพันธุ์หรือใกล้สูญพันธุ์ขั้นวิกฤติ แต่พบในไทยเพียง 5 ชนิด แบ่งเป็น 2 วงศ์ ซึ่งทั้งหมดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าในปี ค.ศ. 2005 คือ
- วงศ์ Cheloniidae มีอยู่ 4 ชนิด ได้แก่
- เต่าตนุ (Green turtle)
- เต่ากระ (Hawksbill turtle)
- เต่าหญ้า (Olive ridley turtle)
- เต่าหัวฆ้อน (Loggerhead turtle – พบได้น้อยมาก)
- วงศ์ Dermochelyidae มีอยู่เพียงชนิดเดียว คือ
- เต่ามะเฟือง (Leatherback turtle)
กลไกการเลือกเพศของเต่าทะเล
เต่าทะเล ไม่ได้มีโครโมโซมเพศแบบมนุษย์ แต่จะกำหนดเพศของลูกเต่า จาก “อุณหภูมิของทรายที่ฟักไข่” ซึ่งเป็นกระบวนการที่เรียกว่า Temperature-Dependent Sex Determination (TSD) คือ การกำหนดเพศตามอุณหภูมิ ขณะลูกเต่าอยู่ในไข่ช่วงกลางของการฟัก
- อุณหภูมิสูง (อบอุ่น) → ลูกเต่าจะกลายเป็น เพศเมีย
- อุณหภูมิต่ำ (เย็น) → ลูกเต่าจะกลายเป็น เพศผู้
โดยทั่วไปต่ำกว่า 27.5°C → ส่วนใหญ่เป็นเพศผู้ สูงกว่า 31°C → ส่วนใหญ่เป็นเพศเมีย และระหว่าง 28–30°C → ได้ทั้งเพศผู้และเมียแบบสมดุล
แสงไฟทำให้เต่าไม่ลงทะเล
ในช่วงฤดูร้อน เต่าจะทำตามพิธีกรรมการสืบพันธุ์ โดยเต่าตัวเมียจะออกจากทะเลแล้วคลานขึ้นฝั่งเพื่อขุดรังในทราย เต่าตัวเมียจะใช้ครีบหลังขุดหลุมรังแล้ววางไข่ประมาณ 100 ฟอง
หลังจากวางไข่แล้ว เต่าจะคลุมไข่และพรางตัวบริเวณรังก่อนจะกลับสู่มหาสมุทร เต่าที่ทำรังอาจกลับมายังบริเวณรังเพื่อวางไข่หลายครั้ง และโดยปกติจะทำรังทุกๆ สองถึงสามปี
อุณหภูมิส่งผลกระทบอย่างมากต่ออัตราส่วนเพศของเต่าทะเล อุณหภูมิที่อุ่นขึ้นจะผลิตเต่าเพศเมียได้มากกว่า ในขณะที่อุณหภูมิที่เย็นลงจะผลิตเต่าเพศผู้ได้มากกว่า ไข่จะฟักออกมาหลังจากฟักเป็นเวลาสองเดือน โดยจะฟักออกสู่ทะเลในเวลากลางคืนโดยใช้แสงจากท้องฟ้าในยามค่ำคืน แต่ปัญหาคือแสงไฟเทียมจากการใช้ชีวิตของมนุษย์ สามารถเบี่ยงเบนความสนใจของเต่าทะเลไม่ให้หาทางไปยังมหาสมุทรได้
อุณหภูมิทรายบนชายหาดเพิ่มขึ้นจากภาวะโลกร้อน ทำให้ลูกเต่าที่เกิดใหม่มีแนวโน้มเป็นเพศเมียมากกว่า 90–100% ในบางพื้นที่ เช่น ออสเตรเลียและฟลอริดา พบว่าลูกเต่ากว่า 99% เป็นเพศเมีย ซึ่งเป็นปัญหาต่อความสมดุลประชากรในอนาคต เพราะจำนวนเพศผู้ลดลงจนอาจส่งผลต่อการผสมพันธุ์
นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลยังทำให้แหล่งวางไข่ของเต่าถูกกัดเซาะและลดลงอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเต่าต้องเผชิญกับภัยคุกคามรุนแรงจากน้ำมือมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นมลพิษทางทะเล ขยะพลาสติก การทำประมงที่ไม่ยั่งยืน การรุกล้ำแหล่งวางไข่ ไปจนถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ภูเก็ต สำเร็จ "เพาะเต่ามะเฟือง" 1 ใน 5 ประเทศของโลก
พีระ ป้อมสุข ที่ปรึกษาอิสระด้านความยั่งยืน ผู้ช่วยหัวหน้ากลุ่มสัตว์ทะเลหายากและใกล้สูญพันธุ์ ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอันดามันตอนบน กล่าวกับ ‘กรุงเทพธุรกิจ’ ว่า ในจังหวัดภูเก็ต ประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นในการเพาะเลี้ยงและอนุบาลเต่ามะเฟือง สัตว์ทะเลหายากที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์อย่างวิกฤติ
ความสำคัญของการนำลูกเต่ามาอนุบาลที่ศูนย์ฯ คือการเพิ่มโอกาสรอดชีวิตอย่างมหาศาล หากปล่อยให้ลูกเต่าฟักและเติบโตตามธรรมชาติ อัตราการรอดชีวิตจะน้อยมาก อาจไม่ถึง 1 ตัวจากไข่ 1,000 ฟอง
แต่เมื่อนำมาอนุบาลที่ศูนย์ฯ หลังฟักเป็นตัวแล้ว อัตราการรอดชีวิตพุ่งสูงถึง 95% หลังจากเลี้ยงเป็นเวลา 1 ปี ก่อนที่จะปล่อยคืนสู่ทะเล ภารกิจหลักของศูนย์ฯ คือการเพาะเลี้ยงและปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ ไม่ใช่การเลี้ยงไว้เพื่อจัดแสดง นอกจากนี้ ทางศูนย์ฯ ยังได้ดำเนินการอนุรักษ์ฉลาม ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อระบบนิเวศทางทะเลอีกด้วย
เต่ามะเฟืองนับเป็นภารกิจแห่งความท้าทายระดับโลก เนื่องจากมีเพียง 5 ประเทศทั่วโลกเท่านั้นที่สามารถเพาะเลี้ยงเต่ามะเฟืองให้รอดพ้นจากปีแรกได้ เต่าชนิดนี้มีพฤติกรรมการดำน้ำได้ลึกถึง 100-200 เมตร ทำให้แทบไม่สามารถพบเจอในทะเลได้นอกจากช่วงที่ขึ้นมาวางไข่เท่านั้น
ปัจจุบัน เต่ามะเฟืองจัดอยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์อย่างวิกฤติ ข้อมูลระบุว่าในปีนี้มีการวางไข่เพียง 3-4 รัง และฟักเป็นตัวออกมาได้เพียง 10 กว่าตัวเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดต้องถูกนำมาอนุบาลที่ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอันดามันตอนบน เพื่อให้เติบโตมากพอที่จะสามารถปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติได้ การฟักไข่เต่ามะเฟืองเป็นเรื่องท้าทาย เนื่องจากไข่จำนวนมากมักเป็นไข่ลม หรือไข่ที่ไม่ได้รับการผสม
คิดสูตรอาหารเลี้ยงเต่า เพราะหญ้าทะเลไม่เพียงพอ
"ด้วยองค์ความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงเต่ามะเฟืองในโลกที่มีอยู่อย่างจำกัด ทางศูนย์ฯ จึงต้องอาศัยการปรับปรุงและประยุกต์องค์ความรู้จากการเลี้ยงเต่าตนุ รวมถึงการปรับปรุงสูตรอาหาร เช่น การเพิ่มโปรตีน เพื่อให้ลูกเต่าเติบโตอย่างแข็งแรง"
ทั้งนี้อายุของเต่ามะเฟืองเปรียบเสมือนอายุของคน โดยเต่า 1 ปี เท่ากับคน 1 ปี และสามารถสืบพันธุ์ได้เมื่ออายุ 14-15 ปี
ศูนย์ฯ เปิดให้ประชาชนเข้าชมและเรียนรู้ที่ Phuket Aquarium สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำภูเก็ต ที่แหลมพันวา จังหวัดภูเก็ต ซึ่งเชื่อมต่อกับโรงเพาะฟักของศูนย์ฯ เปิดโอกาสให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชม ค่าเข้าชมอควาเรียมอยู่ที่ 80 บาทสำหรับผู้ใหญ่ และ 40 บาทสำหรับเด็ก โดยมีราคาพิเศษสำหรับคณะ การเข้าชมนี้ช่วยให้ผู้คนได้เรียนรู้เกี่ยวกับสัตว์ทะเลและภารกิจการอนุรักษ์ โดยสามารถไปเยี่ยมชมโรงเพาะฟักได้ด้วย
เต่าทะเลรักษาสมดุลระบบนิเวศทางทะเล
เต่าทะเลมีบทบาทสำคัญยิ่งต่อระบบนิเวศทางทะเล แม้จะดูเป็นสัตว์ที่เชื่องช้าและเงียบสงบ แต่ในความเป็นจริง เต่าทะเลกลับเป็นหนึ่งใน “ผู้รักษาสมดุล” ที่ขาดไม่ได้ในมหาสมุทร ต่อไปนี้คือประโยชน์ที่สำคัญของเต่าทะเลต่อระบบนิเวศทางทะเล
1. ควบคุมประชากรสิ่งมีชีวิตในท้องทะเล
เต่าทะเลบางชนิด เช่น เต่าหญ้า (Green Turtle) มีบทบาทสำคัญในการควบคุมประชากรของพืชทะเล เช่น หญ้าทะเล โดยการกินหญ้าทะเลในระดับที่พอเหมาะ เต่าจะช่วยให้หญ้าทะเลสามารถเติบโตได้ใหม่อย่างแข็งแรง ซึ่งมีผลต่อเนื่องต่อสัตว์น้ำอื่น ๆ ที่พึ่งพาหญ้าทะเลในการดำรงชีวิต เช่น พะยูน ปลากะพง และสัตว์หน้าดิน
2. รักษาสุขภาพของแนวปะการัง
เต่าทะเลบางชนิด เช่น เต่ากระ (Hawksbill Turtle) ชอบกินฟองน้ำทะเล ซึ่งเป็นสัตว์ที่อาจแย่งพื้นที่และแสงแดดจากปะการัง การที่เต่ากระช่วยควบคุมฟองน้ำ จึงช่วยให้ปะการังสามารถเติบโตได้ดี และทำให้แนวปะการังมีความหลากหลายทางชีวภาพมากขึ้น เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำหลากหลายชนิด
3. สร้างความสมดุลในห่วงโซ่อาหาร
เต่าทะเลเป็นทั้งผู้ล่าและเหยื่อในห่วงโซ่อาหาร เต่าขนาดเล็กอาจตกเป็นเหยื่อของปู นกทะเล และปลาฉลาม ส่วนเต่าที่โตเต็มวัยจะช่วยควบคุมประชากรแมงกะพรุนหรือสัตว์ทะเลชนิดอื่น ซึ่งถ้าไม่มีเต่าทะเล จำนวนของแมงกะพรุนอาจเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีการควบคุม และส่งผลเสียต่อระบบนิเวศ
4. เพิ่มสารอาหารให้ชายหาดและทะเล
การวางไข่ของเต่าทะเลบนชายหาด แม้ลูกเต่าจะฟักตัวไม่ครบทุกฟอง หรือมีบางส่วนที่ไม่ได้รอดกลับลงทะเล แต่ไข่ที่เหลือหรือเน่าจะกลายเป็นแหล่งสารอาหารให้แก่พืชและสัตว์ชายฝั่ง เช่น ปู นก และจุลินทรีย์ในทราย ซึ่งช่วยฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของชายหาดตามธรรมชาติ
5. ส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ
เต่าทะเลมีบทบาทในการคงไว้ซึ่งความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตในทะเล ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม เมื่อแต่ละชนิดมีประชากรที่สมดุล จะช่วยให้ระบบนิเวศโดยรวมมีความมั่นคงและยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม