'ไทยคม' ปั้น 'คาร์บอนวอทช์' ใช้ดาวเทียม+AI ตรวจป่า ประเมินคาร์บอนเครดิต

'ไทยคม' ปั้น 'คาร์บอนวอทช์' ใช้ดาวเทียม+AI ตรวจป่า ประเมินคาร์บอนเครดิต

โมเดล “คาร์บอนวอทช์” เริ่มจากความแม่นยำ 50% พัฒนาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึง ระดับ 92% การเพิ่มความแม่นยำสูงขึ้นต้องใช้ทรัพยากรมากขึ้นตามหลัก Diminishing Returns ไทยคมเตรียมพัฒนา ประกันภัยแบบใช้ดัชนี (เช่น ค่าฝน, ความแห้งแล้ง ฯลฯ)

KEY

POINTS

  • โมเดล “คาร์บอนวอทช์” เริ่มจากความแม่นยำ 50% พัฒนาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึง ระดับ 92%
  • การเพิ่มความแม่นยำสูงขึ้นต้องใช้ทรัพยากรมากขึ้นตามหลัก Diminishing Returns
  • ไทยคมเตรียมพัฒนา ประกันภัยแบบใช้ดัชนี (เช่น ค่าฝน, ความแห้งแล้ง ฯลฯ)
  • มองว่าเทคโนโลยีรีโมทเซนซิงเปรียบเหมือน “ระบบเฝ้าระวัง” ตามแนวคิด Surveillance Capitalism และ Technofeudalism
  • เป้าหมายคือการสร้าง ระบบนิเวศทางเทคโนโลยี ที่มีประสิทธิภาพและสามารถแบ่งปันผลประโยชน์สู่ชุมชน

องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. (TGO) จัดงาน "เปิดตัวนวัตกรรมสำหรับโครงการ T-VER ภาคป่าไม้" งานนี้มีเป้าหมายเพื่อประกาศ ความสำเร็จครั้งสำคัญ ในการรับรอง แพลตฟอร์มเทคโนโลยีสำรวจระยะไกล (Remote Sensing) ด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับใช้ประเมินคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยรับรองระบบนี้อย่างเป็นทางการในรูปแบบที่ครบวงจร

หนึ่งในวิทยากรหลัก “ปฐมภพ สุวรรณศิริ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ได้เผยถึงแนวคิดเบื้องหลังโครงการ "คาร์บอนวอทช์” (Carbon Watch) ว่า ปัจจุบันไทยคมได้เปลี่ยนนิยามตัวเองจากการเป็นเพียงผู้ให้บริการดาวเทียมสื่อสารและถ่ายทอดโทรทัศน์ สู่การเป็นบริษัทเทคโนโลยีอวกาศ (space technology) อย่างเต็มตัว การหันมาให้ความสำคัญกับดาวเทียมรีโมทเซนซิง (remote sensing) ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นสิ่งจำเป็นและเป็นเทรนด์ที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

“โลกปัจจุบันต้องการการทำงานแบบสหสาขาวิชาชีพ (multidisciplinary) เพื่อตอบโจทย์ที่ซับซ้อน ดังนั้นไทยคมจึงได้ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา ทั้งจาก GISTDA (จิส-ด้า) ในการนำภาพถ่ายดาวเทียมมาใช้งาน รวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านวนศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม ความร่วมมือนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีความตึงเครียดด้านสิ่งแวดล้อม”

ก้าวสำคัญของคาร์บอนวอทช์

สำหรับโครงการคาร์บอนวอทช์ ไทยคมมุ่งเน้นไปที่การขับเคลื่อนเชิงนโยบายที่สามารถตรวจสอบได้ โดย “ปฐมภพ” กล่าวว่า ความน่าเชื่อถือ (credibility หรือ credential) เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิต โดยเฉพาะในภาคป่าไม้ ซึ่งโครงการมีระยะเวลาการพัฒนาที่ยาวนาน เช่น 10 ปี หากความน่าเชื่อถือหายไประหว่างทาง ผู้พัฒนาโครงการจะต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด ทำให้เกิดความยากลำบาก

“ไทยคมได้ใช้เวลากว่า 3 ปี ในการทำความเข้าใจและพัฒนาโมเดลคาร์บอนวอทช์ เมื่อปีที่แล้ว ไทยคมได้รับการรับรองจาก อบก. โดยได้ทดสอบในพื้นที่ป่าเบญจพรรณและป่าเต็งรังทางภาคเหนือและภาคกลาง ร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง"

ค่าความแม่นยำ กับความท้าทาย

หนึ่งในประเด็นสำคัญของโครงการคาร์บอนเครดิตคือ ค่าความแม่นยำ (Accuracy Rate) ในกระบวนการตรวจวัดและประเมินผล

โดยคาร์บอนวอทช์ โมเดลแรกๆ มีความแม่นยำประมาณ 50% และได้พัฒนาต่อเนื่องจน อบก. ให้การรับรองที่ระดับ 70% อย่างไรก็ตาม ในมุมมองเชิงวิชาการ “ปฐมภพ” มองว่ายังต้องพัฒนาต่อไปให้ถึง 90-95% ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมาก แต่ไทยคมก็สามารถทำความแม่นยำสูงสุดได้ถึง 92% เมื่อเทียบกับวิธีการทั่วไป

เมื่อการทดลองดำเนินมาถึงช่วง 90-92% เราต้องพิจารณาหลักการ Diminishing Returns—การเพิ่มความแม่นยำอีกเพียง 1% อาจต้องใช้ทรัพยากรในระดับที่สูงขึ้นหลายเท่าตัว กระบวนการนี้ต้องอาศัยความร่วมมือทั้งจากภาคพื้นดิน ข้อมูลจากการสำรวจ และการผสานเทคโนโลยีจากหลายภาคส่วน

\'ไทยคม\' ปั้น \'คาร์บอนวอทช์\' ใช้ดาวเทียม+AI ตรวจป่า ประเมินคาร์บอนเครดิต

ประกันภัยพารามิเตอร์

สำหรับวิสัยทัศน์ในอนาคต ไทยคมกำลังมุ่งหน้าสู่แนวคิดเรื่องประกันภัยพารามิเตอร์ (parametric หรือ index-based insurance) ซึ่งมองว่าเป็นทิศทางที่โลกกำลังจะเปลี่ยนแปลงไป

“ปฐมภพ” ยกตัวอย่างการเคลมประกันรถยนต์ที่ในอดีตใช้เวลา 30 นาที ปัจจุบันเหลือเพียง 3-5 นาที ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า เขายังได้อ้างอิงถึงแนวคิดจากหนังสือ "Surveillance Capitalism"  ที่มองว่าเทคโนโลยีรีโมทเซนซิงเป็นการเฝ้าระวังชนิดหนึ่ง ซึ่งสอดคล้องกับการเป็น "Creator" ของทุกคนในยุคที่กิจกรรมอวกาศเข้าถึงได้ง่ายขึ้น รวมถึงแนวคิด "Technofeudalism" ซึ่งชี้ให้เห็นว่าผู้พัฒนาเทคโนโลยีจะกลายเป็นผู้มีอำนาจ

"ปฐมภพ" กล่าวว่า โครงการคาร์บอนวอทช์และแนวคิดต่างๆ ที่ไทยคมกำลังดำเนินการอยู่ ถือเป็นสิ่งที่ประเทศไทยต้องพัฒนาและสร้างระบบนิเวศขึ้น เพื่อรองรับอนาคตเช่นเรื่องประกันภัยพารามิเตอร์ เป้าหมายสำคัญคือการเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุนการพัฒนาเทียบกับราคาขาย เพื่อให้ผู้พัฒนาโครงการสามารถมีกำไรและแบ่งปันผลประโยชน์ให้กับชุมชนได้ นี่คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญสำหรับประเทศไทยและคนไทย

AI และ บทบาทของข้อมูลในประเทศไทย

นอกจากเรื่องคาร์บอนเครดิต ประเทศไทยต้องหันมาพิจารณาบทบาทของ AI และการจัดเก็บข้อมูลสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง

ปัจจุบัน ChatGPT ใช้พารามิเตอร์กว่า 1 ล้านล้านตัว ขณะที่กระบวนการ Deep Seek หรือ Distillation ที่เราใช้ มีพารามิเตอร์ประมาณ 600 ล้าน ซึ่งกำลังถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ญี่ปุ่นเองก็กำลังเร่งพัฒนา AI ขึ้นมาเพื่อรองรับความต้องการในระดับประเทศ

คำถามสำคัญคือ ประเทศไทยควรพัฒนาอะไรเอง? ในอีก 5 ปีข้างหน้า พารามิเตอร์ AI อาจเพิ่มขึ้นถึง 10 ล้านล้าน ซึ่งจะส่งผลต่อแนวคิด Surveillance Capitalism—ข้อมูลที่เราสร้างขึ้นจะถูกนำไปพัฒนาโมเดลระดับโลก แต่ข้อมูลพื้นฐานของไทยเองยังไม่ถูกนำมาใช้เป็นฐานพัฒนา

นี่จึงเป็นสิ่งที่องค์กรด้านสิ่งแวดล้อมควรคำนึงถึง เพราะข้อมูลจากประเทศไทยมีเอกลักษณ์เฉพาะ เช่น ประเภทของป่าไม้ โครงสร้างกิ่งก้าน และสภาพภูมิประเทศ ที่แตกต่างจากยุโรป แต่กลับมีผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเข้าใจสิ่งเหล่านี้มากกว่าคนไทยเอง

อนาคตของคาร์บอนเครดิต

"ปฐมภพ" กล่าวทิ้งท้ายว่า การพัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิตและการใช้เทคโนโลยี AI เป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรสิ่งแวดล้อม

"เราต้องปรับแนวคิด จากการเป็นผู้ใช้เทคโนโลยี เป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยี เพื่อให้ประเทศไทยสามารถยืนหยัดบนเวทีโลกและขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน"

 

 

 

ภาพประกอบ : Bernd Dittrich/unsplash