Climate Tech สู่ Market Tech ตลาดแมสคือทางรอด ได้จริงหรือไม่

ยุคที่สภาพภูมิอากาศกลายเป็นปัญหาเศรษฐกิจ ไม่ใช่แค่สิ่งแวดล้อมอีกต่อไป เทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม หรือ Climate Tech กำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภูมิภาคที่มีทั้งโอกาสและความเปราะบางด้านสภาพภูมิอากาศ
คำถามสำคัญในตอนนี้คือ Climate Tech จะสามารถ Go Mass ได้จริงหรือไม่ หรือจะกลายเป็นเทคโนโลยีเฉพาะกลุ่มที่ไปไม่ถึงตลาดหลัก? คำตอบอยู่ที่การขับเคลื่อน และ ความสามารถในการพลิกผัน “ความยั่งยืน” ให้กลายเป็น “โอกาสทางธุรกิจ”
แม้จะเริ่มช้ากว่าตะวันตก แต่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเร่งฝีเท้า สู่เป้าหมาย Net Zero อย่างเป็นทางการ เช่น สิงคโปร์ และเวียดนาม ขณะที่ไทยประกาศเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนให้ได้ภายในปี 2050 พร้อมกลยุทธ์พัฒนาเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
ปัจจุบัน Climate Tech ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ภาคพลังงานหรือคมนาคม แต่กำลังถูกนำไปปรับใช้ในหลายส่วนของเศรษฐกิจ ซึ่งเป็น “รากฐาน” ของภูมิภาคนี้
เช่น 1) ภาคการผลิต เป้าหมายสู่ Zero Waste โรงงานผลิตทั่วภูมิภาคกำลังเผชิญแรงกดดันจากลูกค้ารายใหญ่ที่ต้องการ ซัพพลายเชนคาร์บอนต่ำ ทำให้การใช้เทคโนโลยีเพื่อควบคุมพลังงาน, เอไอวิเคราะห์การปล่อยมลพิษ, และระบบรีไซเคิลของเสียแบบครบวงจร กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่
บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ในมาเลเซียและเวียดนามเร่งลงทุนในระบบ Energy Management System (EMS) และโซลูชัน Smart Factory เพื่อลดคาร์บอนต่อหน่วยการผลิต
2) ภาคเกษตรกรรม ภูมิภาคนี้ปล่อยคาร์บอนสูงจากทั้งการใช้ปุ๋ยเคมี การเผาพืชไร่ และการใช้น้ำอย่างไม่มีประสิทธิภาพ Climate Tech สำหรับภาคเกษตร จึงมีบทบาทเพิ่มขึ้น
เช่น การใช้ Drones, IoT Sensors และเอไอเพื่อจัดการทรัพยากรอย่างแม่นยำ ลดการสูญเสีย ลดก๊าซมีเทนจากการปลูกข้าว และปรับคุณภาพดิน
3) อุตสาหกรรมอาหาร ที่มีทั้งการปลูก การแปรรูป และการขนส่ง ซึ่งปล่อยคาร์บอนมหาศาล บริษัทส่วนใหญ่เริ่มหันมาใช้แพลตฟอร์ม Carbon Footprint Tracking, บรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้, และกระบวนการผลิตที่ใช้พลังงาน
4) ค้าปลีกและไลฟ์สไตล์ ผู้บริโภคเจนใหม่ในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ จาการ์ตา และสิงคโปร์ หันมาให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม แบรนด์ไลฟ์สไตล์ ที่ตอบโจทย์เรื่องความยั่งยืน กำลังได้รับความนิยมในตลาดกระแสหลัก
การเข้าสู่ตลาดแมสของธุรกิจ Climate Tech จะเร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับการสื่อสารคุณค่าของ “Green = Cool + Smart โดยการผลักดัน ต้องอาศัยการขับเคลื่อนจากทุกทิศทาง
รัฐต้องเร่งสร้างแรงจูงใจ เช่น ภาษีคาร์บอน, สนับสนุน EV infrastructure และออกใบรับรอง Carbon Credit ที่มีมาตรฐานสากลรองรับ เอกชนต้องเปลี่ยนเรื่อง Climate จาก CSR เป็น core business เช่น การผลักดันกลุ่มผลิตภัณฑ์สีเขียวหรือการใช้เทคโนโลยีเพื่อลด carbon footprintอย่างจริงจัง
หากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังไม่สามารถเร่งเครื่องให้ Climate Tech กลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างเศรษฐกิจภายใน 3 ปีข้างหน้า เราอาจต้องเผชิญต้นทุนทางการค้าครั้งใหญ่
ไม่ว่าจะเป็น กำแพงภาษีคาร์บอนจากยุโรป (Carbon Border Adjustment) หรือแรงกดดันจากนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับ ESG มากกว่าตัวเลขกำไรระยะสั้น
ในโลกใหม่ที่ “ความยั่งยืน” คือใบเบิกทาง และ “คาร์บอน” กลายเป็นสินทรัพย์หรือภาระแล้วแต่ว่าจะจัดการได้ดีเพียงใด
ประเทศที่ช้า คือประเทศที่จะเสียโอกาส ธุรกิจที่ไม่ปรับ คือธุรกิจที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง Climate Tech ในวันนี้ ไม่ได้เป็นแค่เทคโนโลยีเพื่อโลกอีกต่อไป แต่มันกำลังกลายเป็น Market Tech
สำหรับใครก็ตามที่อยากอยู่ในเกมเศรษฐกิจโลกใหม่ ต้องมี ต้องใช้ และต้องเข้าใจ คำถามไม่ใช่แค่ว่าเราพร้อมหรือยัง แต่คือ เราจะ Go Mass ได้ทันไหม?”







